ขวากหนามทาง 2 ภาษา(ฉบับลากิจ 1)

Posted by mom_jenita on January 17, 2010 at 4:32am

เขียนบล็อกส่งท้าย ก่อนขออนุญาต ไปเก็บตัวนักศึกษา(เหมือนนักกีฬามั้ยคะ) ซัก 2-3 เดือน ไม่งั้นอาจไม่จบเอาได้ ธรรมเนียมคนไทย ไปต้องลา มาต้องไหว้ เนื่องจากว่า ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤติในชีวิตเรา อันเนื่องจากนักศึกษามีเหตุจำเป็นต้องแปลผลข้อมูลงานวิจัย วิจารณ์ สรุปผล เขียน paper ต่างๆอีกมากมาย และเวลาที่ต้องจบมันเริ่มงวดเข้ามาทุกที นักศึกษาน้องบี ก็มาลาไปจัดการกับชีวิตแล้ว นักศึกษาภา ก็สมควรต้องเก็บตัวบ้าง มัวมาติดเวบอยู่ อาจไม่รอดได้นะคะ อิอิ
ว่าด้วยเรื่องขวากหนามทาง 2 ภาษา เชื่อว่าบ้านใครก็ต้องมีทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย แต่บ้านเราขอบอก ว่ามากทีเดียวแหละ เริ่มฝึกเจ้าขา ตอน 2 ขวบ 5 เดือน

• อุปสรรคแรก ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ที่เคยเล่าอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นนักเรียนประเภท ไม่ได้เลวร้ายมาก สอบได้คะแนนไม่เลวร้าย เอาตัวรอดในห้องเรียน ถ้าจัดเกณฑ์คะแนนตอนสอบ ก็เรียนอยู่ห้องระดับดีเหมือนกัน แต่ถ้าจัดเกณฑ์ในการพูด คงตกไปอยู่ลำดับท้ายๆเลยล่ะ 555… แล้วจะมาสอนลูกพูดได้ไงเนี่ย จะรอดรึเปล่า ลูกเอ๊ย แค่คิดก็เริ่มท้อแล้ว
• อุปสรรคใหญ่ตัวต่อมา คือเรื่องเวลา หลังจากคิดเรื่องแรกผ่านไป บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ต้องพยายาม น่าจะพัฒนาได้ไม่มากก็น้อย ไม่ต้องกดดันมาก ค่อยๆทำไป แต่จะเอาเวลาไหนเนี่ยมาพัฒนา เนื่องจาก ตอนช่วงเริ่มต้นกับเจ้าขา เป็นช่วงที่เราต้องไปเรียน ต้องเขียน paper ส่งอาจารย์ และต้องสอบ หลังสอบเราต้องส่ง proposal ต้องขอทุนวิจัย ต้องส่งจริยธรรมวิจัย มากมายหลายประการ ซึ่งแค่เรื่องการเรียนของเราที่ต้องอาศัยช่วงที่ลูกนอนทำงานตัวเอง เราก็ไม่ค่อยจะได้หลับได้นอนอยู่แล้ว แล้วลูกเราจะได้อะไรกับเค้ามั้ยเนี่ย บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรสอนศัพท์ กับพูดวลีง่ายๆ พูดกิจวัตรประจำวันตามหนังสือคุณบิ๊ก อ่านนิทานไปก่อนละกัน
• ช่วงแรกๆนี้ มีความเครียดอย่างนึงแทรกซึมเข้ามา คือเรื่องการเลือกระบบการเรียนให้ลูกเรียนว่าจะเรียน สามัญ สองภาษา รึ ep อินเตอร์ ทำให้ได้มีโอกาสปรึกษากับพี่อ๊อบ พี่เล็ก(ไม่รู้พี่ๆจำได้รึเปล่าเรื่องมันนานมาแล้ว แล้วก็ได้มานั่งคิดว่า เอ เราเริ่มเป็นญาติกันมานานแล้วนะเนี่ย อิอิ) และเริ่มมาวางแนวทางของบ้านเรา ขอบคุณพี่อ๊อบ พี่เล็กตรงนี้ด้วยนะค้า…..

วันเวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก 2 เดือนผ่านไป เหมือนเรายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แทบไม่อยากนับว่าเราได้เริ่มระบบ 2 ภาษา มา 2 เดือนแล้ว ที่รู้สึกอย่างนั้น เพราะเราไม่ได้ทำอะไรแตกต่างจากเดิมมาก คือเรายังพูดประโยคภาษาอังกฤษ น้อยอยู่มากจนแทบนับเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เลยล่ะ
เราเริ่มนั่งบันทึกพัฒนาการลูกว่าเค้ารู้ศัพท์และวลี ประโยคอะไรบ้าง โดยการบันทึก diary
จากที่เคยเล่าในบล็อกก่อนๆ ว่ากว่าจะอ่านนิทาน ภาษาอังกฤษได้เล่มเต็มๆ ก็พลิกแพลงมาหลายวิธีการ พอหลังจากอ่านได้แล้ว เราก็อ่านนิทาน ทั้งไทย ทั้งอังกฤษกันบ่อยๆ แต่ขอบอกว่าไม่ทุกคืน ด้วยชีวิตอันวุ่นวาย จนอยู่มาวันนึง เดือนที่ 3 ของสองภาษาบ้านเรา เรานั่งทำงานหน้าคอม เจ้าขาก็เล่นอยู่คนเดียว แล้วก็หยิบหนังสือ มาเล่านิทานเป็นประโยคภาษาอังกฤษแบบจำมา ประติดประต่อกัน ถูกบ้าง ผิดบ้างไม่ยาวมาก แต่เล่าได้ทั้งเล่ม และหลายเล่ม เรานั่งทำงานอยู่หน้าคอม นิ่งและเงียบ แบบตั้งใจฟัง เพราะกลัวลูกจะหยุดเล่า ระหว่างที่นั่งฟัง เราก็คิดว่า นี่ลูกเราเดินมาอีก 1 ขั้น แต่เรายังนั่งทำงานตัวเองอยู่เหรอเนี่ย (ลูกเอ๊ย ลูกแม่ น่าสงสารจริงๆ) เราเริ่มเครียดอีกแล้ว กับวิธีการเดินต่อ และการจัดสรรเวลาของเรา
แต่เมื่อเกิดวิกฤติ ก็มักมีโอกาสตามมาเสมอ นั่นเป็นจุดแรกที่เจ้าขาเตือนสติแม่ และผลักแม่ให้เดินไปข้างหน้าอีก เราจึงเริ่มหาวิธีการในการสอนลูก แบบที่เคยเขียนในบล็อกก่อน อันเนื่องจากข้อจำกัดด้านภาษาที่ไม่ไหลลื่น เราจึงไม่ได้สอนแบบธรรมชาติที่แค่พูดออกไป แต่กลับกลายเป็นคิดว่า เด็กต่างประเทศวัยนี้ต้องรู้อะไร จะเริ่มสอนที่เรื่องอะไร และทำหนังสือฉบับบ้านเรา เพื่อช่วยทั้งแม่และลูก แต่งประโยคในการมาคุยกัน แบบที่เคยเล่าในบล็อกก่อนๆ ประกอบการสอนด้วย
ชีวิตช่วงนี้ก็เริ่มดีขึ้น ความยุ่งน้อยลง ทำให้เรามีเวลาในการพัฒนาตัวเอง ในการสอนลูกมากขึ้น เราเดินกันมาเรื่อยๆ เร็วบ้าง เนิบบ้าง ตามจังหวะบ้านเรา

• อุปสรรคตัวต่อมา ก็เริ่มมาอีกแล้ว มันมากับคำว่าเวลาอีกแล้วค่ะ เป็นช่วงที่เราต้องเตรียมตัว ตัวเอง เพื่อจะไปเก็บข้อมูลงานวิจัย มันทำให้เราต้องมุ่งประเด็นไปที่งานมากกว่าลูก แล้วก็มาถึงวันนึง ที่เราขับรถไปส่งลูกตามปกติ ระหว่างทาง ปกติเราก็จะคุยกันชี้นก ชมไม้ สอนอะไรกันไป ตามปกติ แต่วันนั้น เราขับรถไปและคิดเรื่องงานของเรา โดยลืมลูกไปชั่วขณะ แล้วก็มีเสียงลูกเราดังขึ้นมา โดยพูดคนเดียวอยู่ด้านหลัง เจ้าขาเล่าเรื่องในจินตนาการ ว่า มีนางฟ้ามาปลุกตอนเช้า อาบน้ำ แต่งตัว ใส่ชุดสวย สีอะไร และไปรร.โดยขี่กระต่าย แม่ขี่ช้างไปส่ง ที่รร.ทำอะไร ตอนเย็นแม่มารับ ต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวขโมยกับเสือจะออกมาจากป่า และเค้าจะจัดการ กับเสือกับขโมยยังไง ถ้าขโมยมาเคาะประตู เป็นเรื่องเล่าที่กระท่อนกระแท่น ไม่สมบูรณ์ ถูกบ้าง ผิดบ้าง คงมีแต่คนที่เป็นแม่ฟังรู้เรื่อง และมันเป็นเรื่องเล่า ที่เรารู้สึกว่าทำให้เรานั่งเงียบแบบไม่ขยับตัว เพราะกลัวลูกจะเลิกเล่า เป็นเรื่องเล่า ที่ทำให้เราอยากถ่ายคลิปลูกเก็บไว้ดูเป็นครั้งแรก เป็นเรื่องเล่าที่ทำให้เราต้องนั่งนับว่า นี่มันผ่านมา 6 เดือนแล้วใช่มั้ย และอีกครั้งที่ทำให้เราคิดว่า ต้องเดินต่อแล้วนะ ทำไมช่วงนี้มันวุ่นวายจัง ตอนนี้เราเริ่มพูดภาษาอังกฤษกันมาน่าจะ 80-90% ได้แล้ว แบบภาษาไม่สวย ความถูกต้องไม่มั่นใจ เหมือนเดิม อิอิ แล้วช่วงนี้เราเริ่มหันมาต่อบท กับลูกจากเรื่องเล่าในจินตนาการของเค้า และเริ่มกลับมา พัฒนาตัวเองมากขึ้นในเรื่องความถูกต้อง

• ช่วงที่เราไปไป มา มา เตรียมตัวไปเก็บข้อมูลที่อุบลฯ เป็นช่วงที่วุ่นวายอีกช่วงหนึ่ง แล้วก็เกิดเหตุการณ์แบบที่เล่าในบล็อกที่แล้ว คือดุเป็นภาษาไทย แต่ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ตรงนี้เป็นจุดผลักดันให้เราต้องพูดภาษาอังกฤษกับลูก 100% และเป็นจุดที่เราเริ่มรู้สึกตัวว่า ลูกพูดได้อย่างที่เราอยากให้เป็นแล้ว คือสามารถสื่อสารได้เป็นธรรมชาติอย่างที่เค้าอยากสื่อสาร แต่ยังออกเสียงผิด ออกเสียงไม่ชัดอยู่ตั้งหลายคำ เนื่องจากว่า ตอนแรกเราพะวงอยู่กับการฝึกพูด และเวลาก็ไม่มี เลยคิดว่าเอาพูดให้ได้ก่อนละกัน แต่ตอนแก้นี่ ยากใช่ย่อยเลยนะคะเนี่ย ช่วงนี้เราเลยหันมาเอาดีด้านการออกเสียง
• แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ มาอีกแล้วค่ะ ระลอกอุปสรรค เราต้องไปเก็บข้อมูลวิจัยที่อุบลฯ ตอนแรกคิดว่า จะเอาลูกไปด้วยตลอดและให้คุณยายไปช่วยดูระหว่างทำงาน แต่พอไปจริงๆ ทางไปลำบากมาก ทั้งระยะทางที่ไกล และบางทีต้องขึ้นเขา และตอนทำงานก็วุ่นวาย จึงไม่สามารถเอาลูกไปด้วยได้ กลายเป็นกว่าจะกลับถึงบ้านก็มืด เหนื่อยมาก กว่าจะจัดการเอาลูกนอน บางวันแทบไม่ได้อ่านนิทาน ต้องตื่นแต่เช้า คุยกัน 2 ประโยคก็ต้องไปละ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง

พบทาง…..
พอเรากลับมา เราพยายามจะตั้งต้นในการฝึกภาษากับลูกทั้งเรื่องพัฒนาตัวเอง และลูก ไปพร้อมๆกับการต้องลงข้อมูล เป็นช่วงที่ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ตลอดแล้ว การออกเสียงดีขึ้น และเราเริ่มตื้อๆว่าจะเดินต่อไปทางไหน ยังไงดี แล้วก็พบทาง เมื่อเจ้าขาเริ่มพูดเยอะขึ้น และสิ่งที่ชอบทำคือพูดภาษาอังกฤษกับหมา
ปกติเราไม่ได้บอกคนละแวกบ้านว่าเราพูดภาษาอังกฤษกับเจ้าขา เนื่องจากอย่างแรก ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำสำเร็จมั้ย อย่างที่ 2 เขินกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของตัวเอง ที่รู้สึกตลอดเวลาว่า ไม่เก่งเลย อายจัง ที่พูดออกไปเนี่ย ถูกป่าวน้อ…. แล้วความก็มาแตกตอน เจ้าขาไปเล่นกับหมาพี่ข้างบ้าน ไปเล่นกับน้องๆแถวบ้าน ทำให้ละแวกบ้านเริ่มรู้ว่าเจ้าขาพูดภาษาอังกฤษได้ แม่เริ่มพบทางในการฝึกภาษาอังกฤษต่อ เนื่องจากละแวกบ้านเรามีแต่คนเก่งๆภาษาอังกฤษ ทั้งที่จบดร.มาจากอังกฤษ ทั้งพี่ที่มี walking dic อยู่ต่างประเทศแบบพี่รี และกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ และบรรดาป้าๆ ลุงๆที่น่ารักที่ชอบมาคุยกับหนูเป็นภาษาอังกฤษ แม่จึงผลักดันให้เจ้าขาได้มีโอกาสฝึกภาษากับเหล่าปรมาจารย์ โดยทำตัวเป็นเจ๊ดัน โดยดันชนิดดันสุดๆ

ช่วงแรก เจ้าขาก็คุยบ้างไม่คุยบ้าง ส่วนนึงคือ คนมาคุยด้วยพูดไทยบ้างอังกฤษบ้าง แต่กับบางคนเจ้าขาไม่ค่อยคุยด้วย ยิ่งถามเยอะ ยิ่งไม่คุย เคยมีครั้งนึงไปทานข้าวกันเจอเด็กฝรั่ง แล้วเค้าบอกพ่อเค้าว่า ชอบเจ้าขามาก ดึงพ่อมา พ่อเลยกระซิบที่หูแบบดังๆ ให้พูดภาษาไทยว่า ผมชอบคุณ เด็กฝรั่งคนนั้นก็มาพูดแบบไม่ชัด แม่ที่ปกติค่อนข้างหวงลูกสาว งานนี้ไม่มีหวง ดันสุดๆ ให้ลูกไปพูดกับเค้า ด้วยอารามอยากให้ลูกฝึก 555… แต่เจ้าขาดันไม่เป็นใจ มุดโต๊ะหนี เค้ามุดโต๊ะตาม ก็ไม่ยอมคุยกับเค้า
คลื่นระลอกต่อมา คือ แม่ต้องเจอกับฝรั่งผู้ทรงคุณวุฒิ แม่ทำหน้าที่เจ๊ดันเหมือนเดิม มีฝรั่ง 2 คน คนนึงเป็นชาวปากีสถาน อีกคนเป็นชาวอินเดีย แต่ทำงานที่อเมริกา แม่ที่ปกติก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับฝรั่งมากหรอก แต่ทำหน้าที่เจ๊ดัน ดันลูกไปคุยกับชาวปากีสถาน เพราะเค้าพูดช้า แม่ฟังรู้เรื่อง อีกคนแม่ไม่กล้าคุยด้วยเท่าไหร่ ฟังไม่รู้เรื่อง 555…เค้าถามเจ้าขา เจ้าขาก็ไม่ค่อยตอบ ถามคำตอบคำ บางทีก็ไม่ตอบ แม่เริ่มเครียดเล็กน้อย เอ…ที่เราฝึกๆกันมานี่มันได้ผลมั้ยน้า คุยกับแม่ได้แต่ไม่ยอมพูดกับคนอื่นเนี่ย แต่เวลาผ่านไป เราต้องไปทานข้าวกัน (โดยมีคนอื่นๆอีกมากมายนะคะ อย่าได้คิดว่า ภาสามารถพาฝรั่งไปทานข้าวได้คนเดียว ไม่สามารถ) เจ้าขาก็ดันไปคุยกับคนอินเดีย ที่แม่ไม่ได้ดันเลย และไปนั่งข้างเค้า กลายเป็นลูกเค้าไปเลย อะไรกัน คนดัน ไม่พูด คนไม่ได้ดัน กลับไปคุย เจอกับป้าเก๋ แม่ก็ดัน อยากให้ฝึกกับป้าเก๋ ก็ไม่ค่อยคุย เจ้าขาเป็นยังงี้เรื่อยมา ทำให้ความเครียดระลอกนี้ มันมีทั้ง พบทางในการฝึกต่อแล้ว

แต่เอ…ทำไมลูกไม่เดิน ที่เราฝึกมาเนี่ย ลูกพูดกับแม่ได้ แต่ไม่ยอมพูดกับคนอื่น มันได้ประโยชน์อะไรมั้ยเนี่ย งานก็เยอะ ถ้าไม่ฝึกวิธีนี้จะฝึกวิธีไหนล่ะ แม่ก็ยุ่งจังเลยช่วงนี้ จะพัฒนาตัวเอง ก็ไม่มีเวลา คุณบิ๊กเอาคลิปความรู้มาเสิร์ฟ ถึงที่ ก็ยังไม่มีปัญญามาดู กระทู้ก็แทบจะตามไม่ทันแล้ว แม่ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยดี ที่พูดๆกันมาเนี่ย ถูกรึป่าว ลูกพูดประโยคของลูก มันถูกมั้ยเนี่ย ครูไม่เก่ง จะตรวจงานถูกได้ไง อย่างอื่นๆที่เคยทำกิจกรรมสนุกๆกัน ก็แทบไม่เหลือเวลาหาข้อมูล ทุกอย่างรุมเร้า คลื่นนี้ระลอกใหญ่ จนเรารู้สึก แย่มากมาย……แต่ก็พบนางฟ้าใจดี คือ พี่อ๊อบนั่นเอง ทำให้เราตั้งสติได้ และมีเวลามองตัวเองมากขึ้น ได้แง่คิดอะไรมาหลายๆอย่าง จริงๆแล้ว มันก็เป็นธรรมชาติของเค้า ที่ไม่คุยกับคนไม่คุ้นเคย ยิ่งดัน ยิ่งไม่คุย แต่พอปล่อยธรรมชาติ เค้าก็ไม่รู้สึกกดดัน เค้าก็คุยเอง และที่เรามองว่าเค้าไม่ค่อยคุย จริงๆ ก็คุยอยู่หรอก ตอนเป็นภาษาไทยก็เป็นแบบนี้ แต่ไม่รู้สึกอะไร พอเป็นภาษาอังกฤษ แม่แทบจะนั่งนับประโยคเลย ว่า ถามกี่ประโยค ตอบกี่ประโยค ขอบคุณป้าอ๊อบนะคะ

(เดี๋ยวต่อภาค 2 ละกัน ยาวเนอะ ถ้าขี้เกียจอ่านก็ผ่านๆมันไปเถอะนะคะ รู้สึกเครียดๆกับงาน เลยระบายอารมณ์โดยการเขียนซะงั้น 555…)

เอาคลิปเก่าๆ มาฝากละกันค่ะถ่ายตั้งแต่เดือนตุลา คลิปที่ถ่ายได้มีแค่ช่วง 7-8 เดือน เป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มรู้สึกตัวว่าเราออกเสียงไม่ถูก ก็เลยเพิ่งเริ่มฝึกกัน
ส่วนใหญ่เป็นคลิปแอบถ่าย มีตั้งใจถ่ายบ้าง เป็นช่วงที่เจ้าขา ชอบถ่ายทำสารคดีมด ต้องถือกล้องและขาตั้งกล้อง ไปไหนๆตลอดเวลาเห็นมดเดินทางต้องถ่ายวีดีโอ เก็บไว้ แม่เลยถือโอกาสแอบถ่ายไปด้วย ไม่งั้นต้องมาแย่งถือกล้อง ถ่ายแม่ตลอด มีหลายๆคลิปก็เลยตัดแปะมารวมๆกัน จะได้ไม่เยอะและยาวมากค่ะ

ที่ถ่ายมาได้ก็ไม่ค่อย work เท่าไหร่นะคะ ก็เลยไม่ได้ อัพโหลดให้ดูกันก่อนหน้านี้ และมีคลิปส่วนใหญ่ไม่สามารถออกอากาศได้เนื่องจาก ถ่ายไปเรื่อยๆ ลูกมักถาม why why และแม่ก็ดำน้ำไป จนไม่กล้า เอามาให้ใครดูชม 555…..ไม่มีคลิปดีๆให้ได้ชื่นชม ดูๆ แบบไม่ต้องซีเรียสละกันนะคะ แม่และลูกก็ยังพูดผิดอยู่เยอะเลย หลายอันลูกผิดแม่ก็ยังไม่ทันได้แก้ does ,did ก็เพิ่งจะใช้ถูกขึ้นมาบ้าง เดือนที่แล้วนี่เอง โทษแม่ละกันนะคะ อย่าโทษลูกเลย หุหุ ดูเล่นๆ เดี๋ยวจะลืมกัน อย่าลืมคิดถึงเจ้าขากับภาบ้างนะคะ