Posted by Suthawadee C. on July 17, 2010 at 2:04pm
จากวันที่ 1 ก.พ.2553 เป็นวันที่อ้อมเริ่มสอนลูกอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเราเริ่มทำ OTOL แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น OPOL มาก็ 5 เดือนกว่า ๆ แล้ว คิดได้นานแล้วว่าอยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้คนอื่น ๆได้ฟังบ้าง เพราะหลาย ๆ คนคงสงสัยว่าทำได้ยังไงกับการสอนเด็กโตแล้ว (พี่เมือง 7 ขวบเต็ม และน้องขมิ้น 5.9 เดือน ตอนที่เริ่ม) เริ่มจากได้หนังสือ “เด็ก 2 ภาษาพ่อแม่สร้างได้ “(ประมาณเดือนก.ย.52) จากความอนุเคราะห์ของพี่สาวแท้ ๆ ที่เด็ก ๆ เรียกว่า “แม่อ้อ” ต้องขอเอ่ยชื่อพี่อ้อ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแด่เธอซะหน่อยค่ะ
เพราะถ้าไม่ได้เธอ อ้อมก็คงไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ หรือเรื่องราวของครอบครัวน้องเพ่ยเพ่ย คือแม่อ้อเป็นคนได้ดูรายการครอบครัวเดียวกันแล้ว โทรมาบอกให้อ้อมดู ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ดูหรอกค่ะ เพราะมันดึก แบบว่าลูกหลังแม่หลับด้วยอ่ะ แต่พอได้ดูรายการย้อยหลังทางอินเตอร์เน็ทแล้ว อึ้ง ทึ่งกับแนวคิดของคุณบิ๊ก และน้องเพ่ยเพ่ยมาก (โอ้….ทำได้ไงเนี๊ยะ) ทำไมลูกเค้าเก่งจัง พูด Eng ยังกะเด็กฝรั่งแน่ะ แล้วแม่อ้ออีกนั้นแหละซื้อหนังสือมาให้อ้อมเสร็จสรรพ แล้วบอกให้เข้า web ดูด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่แม่อ้อน่ะ เช้ยเชยนะคะเข้าเวป-แวป อะไรไม่เป็นหรอก (ย้อนเล่าความหลังมากไปหน่อย)
จากนั้นพอได้ลองเข้า web และสมัครสมาชิก ก็เริ่มพูดกับลูก ๆ บ้างแบบ OTOLแต่ด้วยความที่ไม่มั่นใจในภาษาของตัวเองเลย เพราะปมด้วยว่าภาษา Eng ของตัวเองแย่มาก ๆ เลยล้มเลิกการพูดกับลูกไปตั้งแต่เดือน ก.ย นั้นเอง แต่ระหว่างนั้นลูกก็ได้ฟังเพลง
MP3 ได้ดูคายุ นะคะแต่พ่อแม่ได้ได้พูด Eng กับลูกค่ะห่างหายจากการเข้า web ไปนาน พอกลับมาเข้าอีกทีประมาณเดือน ม.ค. ได้รับ email จากคุณบิ๊กว่าจะมีการจัด workshop ที่เชียงใหม่ เลยขอให้สามีเข้าไปฟังด้วยกัน เพราะสามีเป็นคนที่ภาษาค่อนข้างดี
แต่ต่อต้านเล็กน้อย ไม่อยากเร่งรัดหรือบังคับลูกไม่อยากให้เราบังคับให้เค้าต้องพูด Eng พอตกลงใจได้ว่าจะเข้า workshop ก็ลุยเลยค่ะ รู้สึกว่ามี workshop จะมีประมาณ 21 ก.พ.53 เราก็เริ่มกับลูกตั้งแต่ 1 ก.พ. 53 เลยค่ะ โดยแม่ทำ OPOL แบบอึดอั๊ด อึดอัด เพราะเราอยากพูดกับลูก 100% แต่มันทำไม่ได้ เพราะเราไม่เก่ง Eng บางวันพาลไม่อยากพูดกับลูกไปเลยค่ะ ส่วนคุณพ่อก็แล้วแต่อารมณ์ของเค้า ไม่ว่ากัน เมื่อเราอยากให้ลูกพูด Eng ได้เราก็ต้องเริ่มเองอย่ารอใครเลย (ตอนนี้คิดนะคะว่าถ้าปาป๊าไม่เอาด้วยก็ไม่เป็นไร ฉันลุยเอง) พอผ่าน workshop เหมือนอะไร ๆ ที่เคยกังวลมันละลายหายไปหมดเลยค่ะ มาเข้าใจว่าก็ถ้าเรายังพูดแบบ OPOL ไม่ได้ก็ OTOL ไปสิจะมานั่งกดดันตัวเอง กดดันลูกทำไมทำไปแล้วตัวเองก็เครียดลูกก็เครียดไม่มีใครอยากทำหรอก รู้หลักการแล้วทีนี้สบายใจขึ้นมากลูก ๆ ก็เริ่มผ่อนคลายค่ะ ปาป๊าเริ่มเห็นด้วยว่าแนวคิดนี้ work ทำได้อย่างไม่ต้องกดดัน คราวนี้เลยลุยกันอย่างเต็มที่ค่ะ
พื้นฐานของลูกก่อนการสอน
พี่เมือง : ค่อยข้างเก่งเรื่องภาษาอังกฤษมากก่อนอยู่แล้วค่ะ สังเกตได้จากที่คุณครูที่สอน Eng ทุกคน ตั้งแต่อนุบาล 1 จะชมว่าทำยังไงพี่เมืองถึงเข้าใจเวลาครูพูด Eng และพยายามสื่อสารกับครู Eng เสอม ๆ น่าจะเริ่มมาจากการที่เราสอนลูกตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ แบบว่า A-ant มด, red-สีแดง คือสอนไปแปลไปตั้งแต่ลูกเกิดค่ะ เพราะความตั้งใจครั้งแรกของแม่คืออยากให้ลูกเก่ง Eng เพื่อลบปนด้อยของแม่ค่ะ พี่เมืองชอบดู VCD ไซโดมอน เสือน้อยสอนคำศัพท์ที่มีขายใน Big C ค่ะ 1 แผ่นมีประมาณ 2000 คำศัพท์ได้แต่เป็นการสอนศัพท์ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะคนพูดออกเสียงหนักเบาไม่ถูกต้องคืออ่านไม่ถูกนักค่ะ แต่อันนี้ทำให้พี่เมืองรู้ศัพท์เยอะมาก เยอะกว่าที่พ่อ-แม่เรียนมาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ แล้วก็ดู VCD เพลงภาษาอังกฤษ ที่เด็กจีนร้อง (ไม่ชัดเท่าไรแถมภาพกับเพลงคนละเรื่องเดียวกันซะอีก) ดู ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกวันตั้งแต่ 4 ขวบเห็นจะได้ คือประมาณว่าแม่ไม่เคยให้ดูการ์ตูนโดเรมอน หรือการ์ตูนอื่น ๆ เลย ตอนนั้นลูก ๆ เชยมาก ๆ ค่ะ เพื่อน ๆ พูดเรื่องการ์ตูนกันพี่เมืองก็แอบเอามาพูดตามแต่ตัวเองไม่รู้จักเลยซักกะตัวค่ะ
น้องขมิ้น :จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพี่ชายค่ะ พี่ดูอะไรน้องดูด้วย พี่เล่นอะไรน้องเล่นด้วย การ์ตูนเจ้าหญิง คิตตี้ บาร์บี้อะไรก็ไม่รู้จักเลยค่ะแม่ก็ยังติดกับการสอนไปแปลไปมาตลอดจนมาเริ่มอ่านหนังสือเด็กสองภาษา ฯ และได้เข้าworkshop ทำให้เราได้แนวทาง และตัวอย่างมากมายในการพูดกับลูกค่ะ
เริ่ม 2 ภาษายังไง ก็เริ่มตามหนังสือเลยค่ะ
วลี ทำทุกอย่างพร้อม ๆ กับการพูด Eng เป็น Verb + noun เช่น take a bath, brush you teeth, watch TV, get in the car ประมาณนี้เลยค่ะ แต่ทำไปให้เห็นภาพ ไม่ต้องแปล ***ลูกต่อต้านช่วงแรก ๆ
พี่เมือง : เราคนไทยนะครับไม่ใช้คนฝรั่งทำไปเราต้องพูด Eng ด้วย
แม่ : เราต้องฝึกครับ ถ้าเราฝึกกันที่บ้านเราก็จะพูดได้ไม่ต้องไปเรียน Cambridge ตอนเย็นไง (เทอมที่แล้วลูกเรียนพิเศษภาษาอังกฤษของ Cambridge ที่โรงเรียนแล้วลูกไม่อยากเรียนเพราะเหนื่อยมากต้องเรียนทุกวัน จ-พฤ 17.00-18.00 น.)
ขมิ้น : น้องไม่เข้าใจ อย่าพูด Engได้ไม๊น้องไม่รู้เรือง แล้วร้องไห้
แม่ : น้องฟังดูก่อนสิคะ ถ้าน้องไม่เข้าใจน้องก็ถาม แล้วมาม๊าจะอธิบายให้ฟัง (ก็เริ่มยอม ๆ ต้าน ๆ )
ลูก ๆ : พวกเราพูด Engไม่เป็นเราไม่อยากพูด
แม่ : ก็พูดเท่าที่พูดได้ คำไหนลูกคิดไม่ออกก็พูดไทยไปแล้วมาม๊าจะช่วยเองค่ะ (ลูกเริ่มผ่อนคลายและพยายามพูดบ้างทีละเล็กละน้อย)
- เล่านิทาน เอานิทานที่เคยเล่าภาษาไทยจนลูกจำเนื้อหาได้มาเล่าก่อนนอน เป็น English versionลูกก็จะเข้าใจความหมายโดยไม่ต้องแปลค่ะ เพราะเค้ารู้เรื่องเดิม ๆ อยู่แล้ว ต่อ ๆ มาเราก็เว้นช่วงให้ลูก ๆ เล่าต่อกันเองบ้างค่ะหรือให้ลองเล่านิทานจากจินตนาการก็ช่วยได้มาก
- ดูการ์ตูนและฟังการ์ตูนค่ะ คือเนื่องจาก พี่เมือง (PM) และขมิ้น (KM) โตแล้วต้องไปโรงเรียนมีเวลาอยู่กับแม่น้อยลง ดังนั้นการจะให้นั่งดูการ์ตูน นาน ๆ ทำไม่ได้เพราะต้องมีกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย แม่เลยแปลง file การ์ตูนที่ลูก ๆ ชอบเป็น file MP3 สามารถฟังในรถ หรือก่อนนอนได้ ทำให้ลูกเข้าใจประโยคและรู้จักจินตนาการตามประโยคได้เลยค่ะ เพราะเค้าเห็นภาพจริงจากการ์ตูนแล้ว การ์ตูนที่เด็ก ๆ ดูได้แก่
3.1 Caillou เป็นเรื่องแรกจากคำแนะนำในหนังสือ PM/KM ชอบมาก เพราะฟังง่าย
3.2 The Wonder Pets อันนี้หนังสือก็แนะนำค่ะ เด็ก ๆ ชอบเพราะภาพสวยมากๆ เพลงก็เพราะ
3.3 Cliffort the big red dog ดูบ้างแต่ไม่บ่อย
3.4 Max and Ruby
3.5 Dora the explorerอันนี้ลูกชอบแต่แม่ไม่ค่อยชอบ เพราะมันมีภาษาสเปนแทรก ทำให้ตอนนี้ลูกเอา 3 ภาษามาพูดปนกันค่ะ (ไทย-อัง-สเปน)
3.6 Peppa Pigอันนี้ได้มาใหม่ โหลดมาจาก Youtube การ์ตูนน่ารักคล้าย ๆ Caillou ภาษาอังกฤษชัดมาก แถมยังแปลศัพท์ให้เด็ก ๆ ฟังด้วย ตอนนี้กำลังติด Peppa pig กันมาก
3.7 ฟังการ์ตูน ( เรื่องที่ 3.1,3.2,3.6) ในรถ
3.8 ฟัง MP3 เพลง Eng บ้าง แต่ตอนนี้เริ่มเบื่อเพลงติดฟังการ์ตูนในรถค่ะ
****สิ่งสำคัญคือการนั่งดูการ์ตูนพร้อม ๆ กับลูก พูดตามประโยคในการ์ตูนที่เราต้องการเน้นให้ลูกจำ และเป็นการกระตุ้นให้ลูกชอบการ์ตูนที่เราต้องการให้ลูกดูค่ะ เคยเห็นคำถามจากหลาย ๆ คนในหมู่บ้านว่าทำยังไงดีถ้าลูกไม่ยอมดูการ์ตูนที่เราเลือกให้
ของอ้อมเมื่อก่อนเด็ก ๆ ก็ติดเรื่อง Tom&Jerry ต้องดูทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนอ้อมอยากให้ดูคายุ ก็บอกว่าคายุน่ารักนะ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แบบว่าสร้างความอยากให้ลูกค่ะ แล้วบอกว่าต้องดูเป็น Eng เพราะถ้าดูเป็นพากษ์ไทยเสียงมันตลกๆ ไม่น่าฟังเลย ลูก ๆ ก็จะเริ่มชอบดูค่ะ พอจะเปลียนเป็น Wonder Pets เราก็เอามาดูเองก่อนแล้วกระตุ้นให้ลูกอยากดูอีกค่ะตอนนี้ลูกเริ่มชอบดูการ์ตูนทุกอย่างที่แม่เลือกให้เพราะรู้ว่าแม่ก็ชอบแม่ก็ร้องเพลงในการ์ตูนได้ เราจะร้องเพลงไปด้วยกันในรถค่ะ
- อ่านหนังสือ Engคือด้วยความที่แม่น่ะอ่านหนังสือ Eng ไม่แตก (ไม่คล่อง) เลยต้องอ่านในใจไปก่อนแล้วสรุป ออกมาเล่าให้ลูกฟังจากรูปภาพด้วยเป็นภาษาง่าย ๆ ของแม่ค่ะ เพราะถ้าขืนอ่านไปแบบตะกุกตะกักลูก ๆ คงหมดอารมณ์ฟังไปซะก่อน
- พยุงการพูด เสริม/ช่วยเวลาลูกนึกศัพท์ไม่ออกหรือถูกไม่ถูก เน้นเรื่องเสียงท้ายมาก ๆ ค่ะ ให้อ่านหนังสือโดยถ้าไม่อ่านเสียงท้ายจะต้องอ่านใหม่ แม่ชะชื้ให้เน้นเสียงท้ายจนลูกรู้ว่าต้องเน้น และในการพูดก็ต้องมีเสียงท้าย หรือถ้าคำไหนมีเสียง r แล้วลูกพูดไม่ออกเสียง r ก็แก้ให้ค่ะ
- สร้างแรงบันดาลใจ แรก ๆ PM ไม่อยากเรียนพิเศษ Cambridgeที่โรงเรียนเลยยอมพูด/ยอมฝึกกับแม่ค่ะ เพราะถ้าไม่อยากพูด Engกับแม่จะต้องไปฝึกกับครูที่โรงเรียน เค้าไม่อยากเรียนตอนเย็นค่ะ หลัง ๆ PM อยากไปลาสเวกัส KM อยากไปอเมริกา เลยต้องพูด Eng กันให้ได้ และเด็ก ๆ มีความสุขเวลาที่ใคร ๆ ชมว่าพูด Eng เก่ง นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจด้วยค่ะ
- พูดประโยคเรื่องกาลเวลาซ้ำ ๆ เช่น It’s gone., I forgot…., Who told you….., you told me last night. เพื่อให้เค้ารู้จักการเปลี่ยน verb เป็นช่อง 2 ช่อง 3 โดยไม่รู้ตัว
- ความถี่ จาก OTOL เพี่มเป็น OPOL แบบแม่เองก็ไม่รู้ตัวค่ะ สุดท้ายเวลาจะพูดไทยกับลูกมันจะรู้สึกแปลก ๆ ไปเอง คือจะไม่อยากพูดไทยกับลูกค่ะแต่ก็ยังพูดไทยกับลูกต่อหน้าคนอื่นที่เรารู้จักแต่ไม่คุ้นเคยนะคะแต่ต่อหน้าคนไม่รู้จัก หรือคนที่เราคุ้นเคยแล้วเราก็พูด Eng กันค่ะ)และยังพูดไทยเวลาสอนเรื่อง EQ ค่ะ
เข้าเดือนที่ 5 ลูกมีโหมด Eng ชัดเจนมากพูด Eng กับแม่ แม้แต่ตอนตื่นมาขอฉี่ตอนกลางคืนยังพูด Eng เลยค่ะ ละเมอเป็น Eng
ก็มีแล้ว ลูกเริ่มเล่นกันเองเป็น Eng โดยจำประโยคและสำเนียงจากการ์ตูนมาพูดกันอย่างสนุกสนานและเริ่มสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยพูดกับปาป๊าเป็น Eng เกือบ 100 % และพูด Eng กับแม่มากกว่า 70% โดยอาศัยการกระตุ้นน้อยลง ภาษาของแม่ก็ดีขึ้นด้วยค่ะ เด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนโหมดจากการพูด Eng กับแม่หันไปพูดไทยกับคุณยายอย่างไม่มีหลุด Eng กับคุณยายเลยค่ะ KM เป็นที่โปรดปรานของครูฝรั่งทุกคนรวมทั้งครูไทยที่สอน Engด้วยเพราะสามารถเข้าใจที่ครูพูดทันทีโดยไม่ต้องรอการแปล และสามารถสื่อสารเป็นประโยคยาว ๆ กับครูได้ ส่วน PM ก็สื่อสารกับครูได้มาก จนเพื่อน ๆ ในห้องเอาไปบอกแม่ตัวเองว่า อยากพูด Eng บ้างแล้ว เพราะขนาดเมืองไม่ใช่ลูกฝรั่งยังพูด Eng ได้เหมือนฝรั่งเลย อันนี้คุณแม่ของเพื่อนเล่าให้ฟังค่ะ (แม่อ้อมแอบปลื้มใจมากเลยนะ) หลาย ๆ คนพอเห็นเด็ก ๆ พูด Eng ได้ก็ถามว่าทำได้ไง เรียนร.ร.อินเตอร์ ฯ เหรอ อ้อมก็จะยกความดีความชอบให้หนังสือเด็กสองภาษา ฯ ค่ะ เพราะถ้าไม่มีหนังสือเล่มนี้ก็คงไม่มีวันนี้
ทุกวันนี้เราก็ยังต้องเน้นกันไปเรื่อย ๆ เพราะเรายังไม่ใช่เด็ก 2 ภาษาจริง ๆ แค่พอจะเริ่มทำได้ ดังนั้นยังต้องพัฒนากันไปเรื่อย ๆ ทั้งแม่และลูกค่ะ ปัญหาก็ยังมากมายเช่นเรื่องประโยคกาลเวลาซ้ำซ้อนต่าง ๆ ก็ยังไม่ค่อยได้กัน และการพูดผิด tense ก็ยังพบได้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรค่ะ คิดว่าค่อยเป็นค่อยไปยังมีเวลาฝึกฝนกันไปอีกนาน
อยากเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่มีลูกโตแล้วว่า เราสามารถทำได้ และทำได้จริง ถ้าเริ่มเลยตอนนี้และทำอย่างต่อเนื่องค่ะ
สุดท้ายหวังว่าข้อความย้าวยาวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ บ้างนะคะ ใครมีข้อเสนอแนะ และคำถามยินดีค่ะ