Posted by mom_jenita on August 16, 2009 at 4:30am
ถ้าคุณบิ๊กได้เข้ามาอ่าน อย่าเพิ่งดุลูกศิษย์คนนี้นะคะ มีวิธีการบางอย่างที่แหกกฎไปบ้างต้องขออภัยค่ะ และถ้าไงช่วยแนะนำหรือบอกวิธีปรับปรุงแก้ไขด้วยก็ดีค่ะ ลูกศิษย์ขอเรียนตัวต่อตัว เอางานมาเสนอค่ะ 🙂
วิธีการเหล่านี้ไม่ได้คิดเองทั้งหมดหรอกนะคะ ลอกคุณบิ๊กบ้าง คุณอ๊อบบ้าง คุณพ่อคุณแม่ในนี้บ้าง มาเป็นสูตรบ้านเราเองค่ะ
• เริ่มจากคำศัพท์ อย่างที่บอกค่ะ ตอนแรกเค้าอาจจะถามว่าแปลว่าอะไร ก็ยกให้เค้าดูเลยค่ะ (ไม่แปลกค่ะ เด็กโตแล้ว เค้าก็อยากเข้าใจ คุณเองก็ยังอยากเข้าใจอะไรตั้งหลายอย่าง ลูกสงสัยดีกว่าไม่โต้ตอบอะไร)
• สอน verb แบบที่คุณบิ๊กบอกค่ะ สอน verb ที่เค้าทำประจำ นั่ง นอน ยืน เดิน กระโดด เอาแบบเห็นภาพ verb พวกนี้สอนได้ทั้งแบบคิดเกมมาเล่นกัน เค้าทำอยู่ตอนนั้น และเพลงค่ะ ได้หมด ค่อยๆเพิ่มคลังคำศัพท์ค่ะ อย่าใจร้อน เอาให้แน่นอย่าสอนทีละเยอะๆ เด็กโตแล้วเค้าจะต่อต้านค่ะ
• เริ่มถาม What ‘s this? What ‘s that? เป็นการทบทวนศัพท์ หาเกม สนุกๆ เล่นให้ได้ถามประโยคนี้ นั่งรถไปก็ถามกันไป ใช้ได้ชั่วกาลนาน เพิ่มศัพท์ไปเรื่อยๆค่ะ
• เริ่มพูดเป็นวลีบ้าง เอาที่มัน action ง่ายๆก่อน เช่นอาบน้ำ แต่งตัว เพราะถ้าคุณมีปัญหาการอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ควรเอาที่เป็นรูปธรรมและแสดงง่ายๆก่อนเลย
• สังเกตลูกของคุณว่าเค้าชอบหรือสนใจอะไร เช่น ณิตาชอบร้องเพลงมากกกกก ดังนั้น เพลงทุกประเภทแม่ก็ขนมาหมด ตามหลักการของ Homeschool ถ้าเด็กสนใจอะไรเค้าจะทำได้ดี ก็คงไม่ต่างจากเรา ถ้าลูกคุณชอบ ไดโนเสาร์ก็เอาชื่อพันธุ์ก่อนละกัน อาจไม่เกี่ยวในตอนแรก แต่พอเค้าเริ่มรับภาษาอังกฤษ เดี๋ยวอีกซักหน่อยก็มาเองค่ะ เชื่อเถอะค่ะ
• คุณบิ๊กบอกว่าเด็กรู้ศัพท์ประมาณ 50 คำจะเริ่มพูดวลีรึประโยครึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ของณิตาที่บันทึกไว้ในช่วงแรก ตอนหลังเริ่มบันทึกไม่ไหว คือรู้ศัพท์ทั้งนามและกริยา รวมกันประมาณ 200 คำ เค้าเริ่มพูดเป็นประโยค แบบผูกประโยคเอง ไม่ลอกมา
ตอนนี้เราเริ่มสังเกตว่าลูกเริ่มรู้เรื่องมากขึ้น เข้าใจ แต่ยังไม่เริ่มพูดก่อน เราเริ่มโลภมาก อยากให้ลูกเริ่มพูดกับเราก่อนบ้าง
• ของภา เริ่มจาก ขอนม ขอน้ำ Mommy,Give me some milk,please/Give me some water please โดยทุกครั้งที่เค้าพูดว่า คุณแม่คะหนูอยากกินนม เราก็จะพูดประโยคนี้ทุกครั้ง โดยไม่คาดหวัง ไม่คาดคั้นเค้าว่า พูดนี่ก่อนถึงจะได้ในตอนแรก กลัวเค้าไม่ชอบภาษาอังกฤษไปเลย พูดไปเรื่อยๆ พอตอนหลังเค้าจะเริ่มพูดตามเรา
• ต่อมามีปัญหาว่า เรารู้ว่าเค้ารู้แล้ว แต่เค้าไม่พูด เพราะเค้าพูดภาษาไทยกับเราเยอะ และถนัดกว่า ก็เราผิดเองไม่ได้ใช้ระบบ OPOL ก็ต้องยอมรับสภาพ คราวนี้เริ่มตั้งเงื่อนไข ถ้าเค้าพูดไทยเราก็เริ่มเงื่อนไข
what should you say? ตอนแรกเค้าก็พูดประโยคนี้ตามเลย เราก็ตอบให้ก่อนทุกครั้งและให้เค้าพูดตาม ต่อมาเค้าจะเริ่มเข้าใจเองว่านี่เป็นคำเตือนให้เค้าพูด ยังไม่ให้จนกว่าจะพูด ทำไปเรื่อยๆ ยังไงเค้าก็ต้องยอมเราอยู่ดี น่าสงสารจริงๆก็ยังไม่มีเงินซื้อ นมเองนี่นา อิอิ
• ตอนแรกอ่านนิทาน แอบผิดหลัก จุ๊ จุ๊ เดี๋ยวโดนคุณบิ๊กตี ภาอ่านไทยแทรกอังกฤษไปเลยค่ะ คำไหนที่เค้ารู้ก็อ่าน คำไหนที่มันชี้ได้ก็แทรกเพิ่มเข้าไปเค้าก็ได้ศัพท์เพิ่มขึ้นค่ะจากการอ่านนิทาน อ่านเรื่องนี้แหละซ้ำไปเรื่อยๆ คือเดาเอาว่าเค้าน่าจะเข้าใจเรื่องแล้วล่ะ เพราะเค้าฟังมาหลายรอบตอนที่อ่านหลายครั้ง ก็เพิ่มประโยคไปเรื่อยๆ เค้าคงไม่รู้ตัวจนอ่านเล่มนั้นเป็นภาษาอังกฤษได้หมด โดยเค้าไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่รู้ตัวล่ะซี้…
• หนังสือนิทาน อยากอ่านเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดมากๆ แต่คิดแทนลูกอ่านยาวๆต้องไม่เข้าใจแน่เลย หนังสือเล่มแรก เอาง่ายสุดๆเห็นศัพท์คำไหนที่ลูกยังไม่รู้เอาไปสอนก่อน สอนศัพท์จนคิดว่าเค้าพอจะเข้าใจหมด และลองแอบทำวิจัยเล็กๆของตัวเอง ลองไม่สอนบางคำซิ เค้าจะเข้าใจมั้ย เค้าจะถามรึปล่าว รึเค้าจะให้มันผ่านไป เราก็อ่านไปเรื่อยๆ พยายาม acting ท่าทางประกอบ กลัวจริงๆ กลัวลูกไม่เข้าใจ พอถึงคำนั้นเท่านั้นแหละเค้าถามเลย grown up แปลว่าอะไร แม่ก็ตั้งเงื่อนไข เลย what should you say? ถ้าตอบได้ก็อัจฉริยะแล้ว แม่ก็ถามแทนเลย what ‘s ‘grown up’? เอาถามง่ายๆแบบนี้แหละต้องถามกันไปอีกนาน อีกเงื่อนไข ที่เวลาเค้าอยากรู้ต้องถามแบบนี้นะคะ ตอนนี้คุณก็เตรียมตัวมาแล้ว ว่าจะตอบว่าอะไร 555… แม่ดูเก่งเนอะ อิอิ
• พอเค้าเริ่มเก่งในการฟังในการเดา ค่อยๆแทรกซึมไปเรื่อยๆ (ต้องใช้เวลานะคะ ไม่ต้องเร่ง) หลังจากนั้นคุณก็อ่านเป็นภาษาอังกฤษได้หมดเลยค่ะ ตอนนี้ เค้าก็จะไม่ว่าอะไร ก็หนูเก่งแล้วนี่นา ถ้าเค้าสงสัยเค้าจะถามคุณเอง ถ้าตอบได้คุณก็ตอบไป ถ้าตอบภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ตอบไทยไปก่อนค่ะ ไม่เป็นไร พัฒนาตัวคุณไปเรื่อยๆ
ช่วงนี้เราเริ่มรู้สึกว่าพูดซ้ำอันเดิม ลูกเริ่มได้หมด แม่เองก็มีเวลาเตรียมตัวสำหรับเรื่องต่อไป
• ภาเริ่มคิดว่า เด็กฝรั่งเค้าสอนกันยังไงนะ เราสอนแบบธรรมชาติล้วนๆ (โดยพูดไปเรื่อยๆไม่ได้) ก็เราไม่เก่งนี่นา ก็ต้องทำงานหนักหน่อย
• ภาก็เลยไปซื้อหนังสือที่เค้าสอนเด็กๆมา เค้าเริ่มจาก letter/ verb กิริยาท่าทาง walk run jump dance hop turn around วลีในชีวิตประจำวัน wash your hand wash your face brush your teeth. รู้จักอวัยวะ รู้จักชื่อตัวเอง รู้เรื่องตัวเอง ครอบครัว รู้ตำแหน่งที่ตั้ง under on in next to behind infront of
• เอาล่ะ เข้าทาง letter เรายังไม่เน้น เราเชื่อวิธีคุณบิ๊กที่น่าจะฟังและพูดก่อนจึงหันมาที่อันอื่นๆ
• เราก็สอนผ่านเพลงบ้าง เพราะเพลงก็มีเยอะ(ณิตาชอบร้องเพลง) เพลงนี่แหละ work สุดสำหรับลูกเรา ทั้ง mommy and me ที่คุณบิ๊กแนะนำ เพลงที่เดิมก็เคยร้องกันอยู่แล้ว ไปโหลดเพลงจาก you tube มีรูปประกอบด้วย ที่เค้ามี class สอนเด็กฝรั่ง เช่น walking walking/ clap your hand /Head shoulder…. ทำท่าประกอบไปด้วย เน้นที่เป็น action ก่อน หยิบมาให้หมดมีเพลงเยอะมาก ไม่ต้องรีบเอาให้แน่น
• ถ้าลูกชอบ VCD แบบกึ่งสอนภาษาอังกฤษก็ให้ลูกดู ก็ดีนะคะ เอามาดูก่อนรึว่าเอาตัวอย่างจาก net ให้ลูกดูก่อนชิมลางว่าเค้าจะชอบมั้ย เพราะลูกแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน เลือกแบบที่ลูกเราชอบ
• บังเอิญ ณิตาชอบดูหลายเรื่องที่เป็นการ์ตูนแต่กึ่งสอนไปด้วยหลายเรื่อง ก็สอนดีเป็นแบบค่อยๆสอน ง่ายแก่การเข้าใจ เค้าก็หยิบมาคุยกับเรา บางทีการ์ตูนที่เป็นเรื่องราว เค้าอาจจะสนใจกับเรื่องมาก ประมาณคอยเดาเรื่อง อาจจะได้ประโยคมาพูดไม่มาก(สังเกตเอาจากลูกตัวเอง) อันนี้จะช่วยเรื่องผูกประโยคและมีประโยคเยอะๆมาพูดค่ะ
• ดูการ์ตูน ครั้งแรกให้ดู caillou ไม่ชอบค่ะ ไม่ได้ต่อต้าน ประมาณนั่งดูแบบเนือยๆ เบื่อๆไม่ต้องแปลกใจ สงสัยฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าลูกใครมีปัญหาแบบนี้ ไม่ต้องตกใจค่ะ ตอนแรกภาทำแบบนี้ค่ะ หาเรื่องอื่นให้ดูก่อน VCD เอาที่เค้าชอบน่ะค่ะ เดาเอาว่า เค้าคงยังไม่คุ้นเคยกับการฟังภาษาอังกฤษยาวๆ (คิดแทนลูกตลอด) พอเค้าเริ่มชินกับภาษาอังกฤษมากขึ้น ลองเอามาให้ดูใหม่ค่ะ คราวนี้ เค้าเริ่มตั้งใจมากขึ้น คอยหัวเราะตอนที่ caillou หัวเราะ สงสัยหัวเราะตามแน่เลย เริ่มไม่แน่ใจรู้เรื่องป่าวเนี่ย
“จุ๊ จุ๊ ถึงตอนจะโดนครูตีอีกแล้วค่ะ เราก็เลยนั่งดูไปด้วยและอธิบายให้เค้าก่อนค่ะ ไม่ได้แปลทุกประโยคนะคะ ไม่ใช่อะไรแม่ก็ฟังไม่ทันเหมือนกัน 555…เหมือนพูดเนื้อเรื่องคร่าวๆกับเค้า คราวนี้ เค้าเปลี่ยนไปค่ะ เริ่มมาถามและสนุกมากขึ้น (ช่วงนี้ต้องใช้เวลานิดนึงนะคะ) พยายามสอนประโยคต่างๆกับเค้า พูดกับเค้า อ่านนิทาน ดู VCD อย่างอื่นทุกอย่างประกอบกัน และมันก็จะเผอิญมีในเรื่องหลายประโยค พอในเรื่องพูดเราก็เริ่มย้ำเลย เค้าก็จะเอามาใช้ หลังจากนั้นภาเริ่มเปลี่ยนจากการอธิบายเรื่องเป็น พูดย้ำประโยคที่เราฟังทัน และประโยคที่เค้าเคยรู้ เพราะเราเคยพูดกับเค้า
ปฏิบัติการต่อมา วิจัยเล็กๆอีกแล้วค่ะ บวกกับบางทีไม่มีเวลาด้วย ลองปล่อยให้เค้าดูคนเดียวดูซิ แต่ก่อนหน้านี้คือ ได้ดูกับเค้าบ่อยๆ นานๆแล้วนะคะ(ใช้เวลาค่ะ) เค้าก็นอนดู นอนยิ้ม หัวเราะ แต่เราไม่แน่ใจเค้ารู้เรื่องรึปล่าวน้า มีอยู่วัน เค้านั่งดูและร้องถามเราในห้องน้ำ mommy what ‘s “captain”? โอเค ไม่ได้หัวเราะไปเรื่อยนี่นา
• คำถาม What ‘s this? What ‘s that? ที่เราถามเค้าตอนแรก สอนเด็กโตขนาดนี้แล้ว พอเค้าเริ่มสนุกเค้าจะเริ่มถามแม่ คุณแม่อันนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรคะ โอกาสทองค่ะ ตั้งเงื่อนไขเลยค่ะ what should you say? ตอนแรกงง ค่ะ ถามแทนค่ะ What ‘s this? พอเค้าพูดตามก็รีบตอบเลยค่ะ ให้กำลังใจเค้าด้วย good girl.You speak very good English. หอมแก้ม เค้าจะรู้สึกว่า ทำแบบนี้แล้วแม่ปลื้ม
• คุณบิ๊กบอกว่าให้ถามให้ตอบ Yes,No เราก็ตามนั้นเลย ถามเองตอบเองก่อนเหมือนเดิม อันนี้เร็วมาก yes,no ง่าย
• ต่อด้วยคำถาม which one do you want? This one or that one ให้เลือก เริ่มเข้าใจ which
• Do you want to play dough or play lego? เริ่มให้ตอบยาวขึ้น
• หลังๆ yes ,no ชักแข็งแรงขึ้น เราอยากเพิ่มประโยคอื่นๆ เราเริ่มมาที่ where ตอนแรก where is daddy? Yes 555…. ตอบจนชินล่ะซี้ แม่ก็ตอบให้ daddy goes to work. ประโยคนี้ ณิตาจำขึ้นใจ เพราะถามทีไร พ่อก็ไปทำงานทู้กที
ถาม Where และเปลี่ยนตัวข้างหลังไปเรื่อย เค้าจะได้เริ่มฝึกใช้ under on behind in front of ประมาณนั้น Where is your rabbit? Where is your crayon?
• ทำแบบเดียวกัน what do you want? ขึ้นให้ก่อน ตอนนี้ ศัพท์เริ่มเยอะแล้ว I want….เค้าจะต่อเอง ถามบ่อยๆค่ะ ต่อมาเค้าจะพูดทั้งประโยคเองค่ะ
ตอนนี้เค้าจะเริ่มแต่งประโยคเองแล้วค่ะ เค้าอยากได้อะไร อยากทำอะไรต้องตั้งเงื่อนไข วันๆ ต้องการโน่น นี่อยู่แล้ว ได้หลายประโยคแน่นอนค่ะ พูดภาษาอังกฤษได้ทั้งวัน ประโยคเนี้ยแหละ หากิน
Mommy,I want to ride a bicycle./I want to color the picture/I want to draw a picture./I want to take a pee pee./I want to go downstair and play outside./I want to sit on your lap/Can you hold this for me,please?/help me find it./help me.it ‘s stuck/Can I have some……….> ร้อยแปดพันประการที่เค้าต้องการ
• ช่วงนี้สังเกตว่า เค้านั่งนอน ยืนเดิน ก็เริ่มพูดกับตัวเอง The floor is wet. The yellow flowers are beautiful. My bag is dirty. Oh It ‘s full. ง่ายๆค่ะ
• เริ่มต่อประโยคให้เค้าบ่อยๆค่ะ หัวท้าย เช่นตัวอย่าง ณิตา เค้ากำลังหากรรไกร เราเคยช่วยเค้าต่อประโยคหัวท้ายให้มากขึ้น เค้าก็หยิบมาใช้ Mommy,I want to cut.I want a scissor.Help me find it. ก็เริ่มยาวขึ้นมาหน่อย I want ประโยคหากินจริงๆ
• เพิ่มประโยคคำถามไปเรื่อยๆ Who is he? Daddy เอาง่ายๆยังงี้เลย หากินกับคนใกล้ตัว
ถามเสร็จเค้ายังงง งง บางทีตอบไปเรื่อย เราย้ำคำว่า who ทุกครั้งที่ถาม ตอบเองไปก่อน แป๊บเดียวเค้าก็เข้าใจ who
• เริ่มทำให้ประโยคซับซ้อนมากขึ้น Who gave it for you? ย้ำคำว่า who กับ gave ค่ะ เค้าเริ่มเดาเก่งแล้วค่ะ ตอบได้ไม่ยาก ทำท่าช่วยด้วยก็ได้ค่ะตอนแรก
• What ,Where ก็เหมือนกันค่ะ ทำให้ซับซ้อนขึ้น What do you want to buy there? เน้น what กับ buy /What would you like to eat? /What ‘re you doing?/What ‘re you eating?/Where did you go?/Where did you put it? เพิ่มไปเรื่อยๆค่ะ เค้าเก่งแล้วตอนนี้ ตอบได้ เพิ่มศัพท์ไปด้วยนะคะ
• ขยับมาที่ why ค่ะ ชอบถามทำไมดีนัก แม่ถามกลับซะเลย เน้นคำว่า why เหมือนเดิมนะคะและตอบแทน เอาง่ายๆก่อน เค้าก็จะเข้าใจ
ตอนนี้เราเริ่มโลภอีกแล้วค่ะ เราเริ่มอยากให้เค้าถามบ้าง อยากให้เค้าเริ่มก่อนบ้าง ทำไงดี คิด คิด
• ลองหานิทานในวัยเค้า ยากจังภาษาอังกฤษเต็มไปหมด เอาแบบ first book ก็ง่ายไป เน้นรูป เป็นคำๆ โตขึ้นอีกหน่อยนี่ล่ะ คือจะบอกว่า หาให้เหมาะกับเค้า อย่าไปดูวัยที่เค้าเขียนไว้ สังเกตว่าหนังสือพวกนี้ที่เราคิดว่าเค้าน่าจะอ่านรู้เรื่อง จะย้ำคำเดิมๆ ประโยคเดิมๆทั้งเรื่อง
• ลองเอามาอ่านให้ณิตาฟังดู I feel happy.I feel lonely. I feel sad. เค้าชอบแฮะ นั่งอ่านเองเลย คือท่องได้ว่าหน้าตาแบบนี้ ต้อง I feel excited. ก็ในเมื่อเค้าจำได้พูดได้ ได้ไวยากรณ์แบบไม่ได้ตั้งใจ เอามาใช้ซะเลย
หาหนังสือใกล้ตัว และสิ่งที่อยากสอนยากจริงๆ ทำเองซะเลย
• ทำ power point เองซะเลย แม่ low technology อย่างเรา ง่ายๆยังงี้แหละ แถม print ขาวดำ อีกตังหาก 555…
• เริ่มด้วย My family. This is my father.he is…..This is my mother.She is…… and Me เอารูปพ่อ รูปแม่ รูปเค้ามาใส่ คือจะสอน he ,she ,me แล้วก็เอาเรื่องในบ้านนี่แหละมาแต่งประโยค เธอชอบมาก มีรูปต๊กตาแสนรัก ได้สอน her,his ไปด้วย
• ต่อมาตามด้วย Where ‘re you going? ไปเอารูปรร.มาซะเลย I ‘m going to school.
Where ‘re you going? I ‘m going to…..โน่น นี่ อยากสอนไปไหนก็ไปหารูปมา ทั้งเรื่องเป็นแบบนี้ อ่านบ่อยๆ จำได้ ก็เอามาใช้ Mommy,where ‘re you going?
• แล้วหนังสือคำถามก็เริ่มทยอยออกมา แล้วเธอก็เริ่มเอามาถามเรา คงฟังบ่อย แล้วรู้สึกว่าถ้าถามกลับแล้วควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่ถูกคุกคามอย่างเดียว 555…เริ่มสนุกในการถามพ่อแม่ ตอนนี้รีบตอบทันทีเลยนะคะ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการถามของเค้า และเริ่มต้นคุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษ
• ถึงตอนนี้ เธอกำลังมั่วอยู่กับการแต่งประโยค why did ,why do,why don ‘t ค่ะ แต่ก็ยังมั่วๆอยู่ แม่เองก็ยังตอบเป็นภาษาไทยซะส่วนใหญ่ แม่เองก็กำลังพัฒนาอยู่เหมือนกัน เพราะเวลาลูกถาม why แม่ก็ยังตอบเป็นไทยอยู่เลยค่ะ แล้วจะให้ลูกได้ยังไงเนี่ย คุณแม่ขา……
เขียนมาซะยืดยาว ตอนนี้ก็กำลังค่อยๆคืบคลานทั้งพ่อ แม่ลูก ผ่านมา 5 เดือน
• ก็เริ่มพูดคุยตอบโต้ได้เยอะพอสมควร ตอบคำถาม what,Where,Who,Why ได้เยอะแล้ว กำลังค่อยๆเขยิบให้ซับซ้อนไปเรื่อยๆ และค่อยๆขยายประโยคบอกเล่าให้ยาวขึ้น
• เริ่มตั้งประโยคคำถามตอนแรกแบบลอกมา ตอนหลังเหมือนเริ่มเข้าใจและผูกประโยคคำถามเอง แต่ยังไม่ค่อยถูกมากนัก
• เริ่มตอบคำถาม โดยปรับเปลี่ยนประโยคคำตอบเอง เหมือนจะเข้าใจไวยากรณ์แต่ไม่รู้เข้าใจอ่ะป่าวไม่แน่ใจ เช่น เค้าแต่งประโยคเองนานแล้วว่า I want to drink some milk. เราก็ปล่อยให้พูดแบบนี้มาตลอด ทั้งที่เวลาเราถามเค้า เราจะถามว่า would you like to drink some milk? แต่ก่อนเค้าตอบแค่ Yes,No ตอนหลังที่เค้าพูดขอนม เค้าก็เปลี่ยนของเค้าเป็นบางครั้ง Mommy,I would like to drink some milk.
• แม่กำลังพยายามพัฒนาตัวอย่างมาก เพราะเหมือนตอนนี้คนที่มีปัญหาคือแม่ ก็เลยปรับให้พ่อมาฝึกคุยภาษาอังกฤษกับแม่ด้วยจะได้ช่วยๆกัน ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นทั้งแม่และพ่อพูดภาษาอังกฤษ แต่ทั้งสองคนก็ต่างงูปลา จึงยังพูดทั้งไทยและอังกฤษกันทั้งสองคน บวกกับเหตุผลที่บอกในตอนแรกกับการพูดไทย
• ไม่ใช่เด็ก OPOL เป็นเด็กตามอารมณ์และความสามารถแม่ จึงเป็นแบบวันไหน เธอมีอารมณ์จะพูดภาษาอังกฤษทั้งวัน วันไหนไม่มี ก็จะไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ พูดไทยซะส่วนใหญ่ ถามคำ ตอบคำ บางทีก็ยังต้องกระตุ้น รับสภาพไป ก็เพราะแม่น่านแหละ….
มาถึงตอนนี้ ไม่รู้จะมีใครทนเหนื่อยที่จะอ่านรึปล่าว เพราะมันยาวมาก แต่ความเป็นจริงมันยาวกว่านี้ เพราะมันใช้เวลาเดินทางมา 5 เดือน เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง (แต่แอบกระซิบว่า ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่ความคิดของแม่เองค่ะ) ลูกน่ะไม่เท่าไหร่ เอาอย่างที่คุณเล็กบอกนะคะ คิดสิ่งดีๆ เราจะมีแรงก้าวเดิน และบางทีการมัวแต่คิด มันก็ทำให้เราเอาเวลาที่จะทำ มาคิดมากกว่า แต่ห้ามไม่ได้หรอกค่ะ คนเราต้องผ่านการคิด จึงจะเกิดปัญญา น่าน ว่าเข้าไปนั่น
วันนี้เอาเวลาเขียน paper ส่งอาจารย์มาเขียน blog หลายชั่วโมงมากกกก…(โดนดุแน่ๆ) จริงๆเขินที่จะเขียนมากๆ กลัวคนมาอ่านแล้วรู้สึกว่า เหมือนคิดว่าตัวเองเก่ง อายมากเลย แต่จริงๆไม่ได้เก่งอะไร ค่ะ คุณเล็กเคยชวนเขียน และพอเห็นคุณเล็กเขียนและมันเป็นกำลังใจให้หลายคนดี และเราเห็นคนที่เข้ามาบอกว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษทำยังไงดีเยอะมาก ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นอยากให้เราแบ่งปันประสบการณ์ จริงๆ คงมีแม่ที่เก่งกว่านี้หลายท่าน เพราะฉะนั้นก็ชวนมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์เลยนะคะ ตัวเองก็รอลอกวิธีดีๆเหมือนกันค่ะ
สุดท้ายจริงๆ ขอให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ทิ่คิดว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษนะคะ เราค่อยๆก้าวไปค่ะ ค่อยๆเพิ่มเปอร์เซ็นต์ จากน้อยเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซักวันเราคงได้ 100 % ค่ะรึว่าไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ เราไม่ต้องเร่งจบให้ทันเทอมแบบที่คุณบิ๊กบอก ไม่ต้องแข่งกับใครอย่างที่คุณเล็กว่า เราสอนลูกได้อีกนานค่ะ ยังไงเค้าก็ต้องเก่งกว่าเราตอนนี้แน่นอนค่ะ สู้ สู้นะคะ