Posted by แม่น้องเนย on March 17, 2014 at 6:30am
สวัสดีค่ะ เล็ก-แม่น้องเนย รายงานตัวครบรอบ 5 ปี ที่หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
ณ.วันที่ 17 มีนาคม 2557 เวลา 6.35 น. ตอนนี้น้องเนยอาุยุประมาณ 7 ขวบครึ่ง
แทบไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะสามารถประคองการพูดภาษาอังกฤษกับลูกมาได้ยาวนานกว่า 5 ปี
จากวันแรกที่พูดภาษาัอังกฤษกับลูก (ตอนนั้นลูกอายุ 2 ขวบครึ่ง)
สามีส่งสายตาแสดงออกถึงความไม่แน่ใจว่าจะไปรอด
เนื่องจากภาษาอังกฤษแย่แบบไม่มีอะไรอยู่ในหัว แล้วยังบังอาจจะพูดอังกฤษกับลูกอีกต่างหาก
มาถึงวันนี้เวลาได้พิสูจน์แล้วว่า คนเราสามารถพัฒนาตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า
ที่ผ่านมามักจะมีความคิดทางด้านลบฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกว่า
“เราทำไม่ได้หรอก”
“มันยากเกินไปสำหรับเรา”
“ตัวเองยังไม่รอดแล้วจะสอนลูกได้อย่างไร”
“เราไม่เก่งเท่าคนอื่น”
“เราเรียนมาน้อยกว่าคนอื่น”
ความคิดอะไรแบบนั้นก็เคยอยู่ในหัวของเล็กเหมือนกันค่ะ
แต่เพราะว่า “ลูก” คือคำตอบของความกังวลทั้งหมด
ลูกคือแรงบันดาลใจให้เรากล้าทำสิ่งต่างๆมากมาย
กล้าจะฝ่าฟันอุปสรรคที่ต่างรุมเข้ามาหาเรา
เล็กอยากส่งเสริมให้ลูกมีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเป็นธรรมชาติ
โดยไม่ต้องคิดแปลกลับไปกลับมาเหมือนที่เล็กเป็นอยู่
ซึ่งขณะนี้เอง บางครั้งเล็กก็ยังเป็นอยู่ เวลาพูดกับฝรั่ง ซึ่งมันติดฝังแน่นมาก
เมื่อก่อนมีความคิดว่าลูกจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ก็มีอยู่ไม่กี่วิธี
ซึ่งเราไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เนื่องจากเราเป็นครอบครัวฐานะปานกลาง
1.ส่งลูกเข้า รร.อินเตอร์
2.จ้างครูมาสอนโดยตรง
3.ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
เล็กเพิ่งมาเจอแนวความคิด “เด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้” เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ซึ่งจะไม่ขอเล่ารายละเอียดมากเพราะว่าได้เคยเขียนบล็อกไว้แล้วที่นี่ ลองอ่านดูค่ะ
เมื่อกลับไปอ่านบล็อกที่เคยเขียนไว้
ก็ทำให้คำถามที่เคยสงสัยเมื่อ 5 ปีก่อนกลายเป็นคำตอบในวันนี้
ระหว่างทางที่เราประคองการพูดภาษาอังกฤษกับลูก
เล็กได้สังเกตและเก็บข้อมูลมาได้ดังนี้
1.เล็กเห็นว่าเด็กช่วงระยะเด็ก 2-4 ขวบ เป็นช่วงที่เค้ามีพัฒนาการการพูด
การเลียนแบบได้มากที่สุด อาจเป็นเพราะหลังจากที่เริ่มพูดได้คล่อง เด็กอยาก
เลียนรู้อะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่ป้อนทุกอย่างให้ลูกในตอนนี้
มันจะเป็นคลังความรู้ที่สะสมอยู่กับเค้าตลอดชีวิต อีกอย่างหนึ่งคือ
ช่วงขวบปีที่ 2 เค้ายังติดแม่อยู่ ดังนั้นแม่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก
ในการเป็น “ต้นแบบ” ที่เค้าจะเลียนแบบ
หลังจากนั้นเด็กจะเริ่มเข้ารร.อนุบาล เค้าจะได้เจอคนมากขึ้น
กิจกรรมต่างๆเริ่มมากขึ้น ต้องประคองผ่านไปให้ได้
2.หลังจากส่งลูกเข้าอนุบาล เล็กออกไปทำงาน ความเข้มข้น
และความถี่ในการใช้ภาษาเบาบางลงระดับหนึ่ง
เล็กยังคงพูดภาษาอังกฤษ 100% กับลูกอยู่ตลอดเวลาในตอนนั้น
เราคุยกันตั้งแต่ตื่นนอน ส่งลูกไปรร. หลังเราเลิกงาน ถึงก่อนนอน
แต่จะเห็นว่าความถี่ลดลง จากที่อยู่กัน 24 ชม.ลงลง 6 ชม.(ช่วงที่ไป รร.)
ลูกก็ยังคงพูดอังกฤษกับเรา แต่จะมีเรื่องเกี่ยวกับ “การแปล”
ที่ รร.สอนไว้ ติดมาบ้างเหมือนกัน เราต้องคอยดึงให้ลูกกลับมา
อยู่ในโหมดที่เราสร้างไว้ คือ “ไม่แปล”
3.เมื่อลูกเข้า ป.1 ผลกระทบก็มากขึ้น เล็กเห็นความแตกต่างอย่างมาก
ระหว่างช่วงก่อนเข้าเรียนและ ช่วงเริ่มเข้าเรียนประถม
พบว่าหลังจากเข้า ป.1 ทั้งแม่และลูกพูดกระท่อนกระแท่น
ติดๆขัดๆ เนื่องจากความถี่ลดลงจากการให้เวลาทำการบ้านที่มากขึ้น
ซึ่งการบ้านภาษาไทย,คณิตศาสตร์ เล็กพูดไทยกับเค้า
และเรื่อง “วิชาภาษาัอังกฤษ” ที่โรงเรียนเ้น้นเรื่อง
“การแปล”และ “ไวยากรณ์”
ชีทที่ใช้สอนก็จะมีเขียนอธิบายเลยว่า
is เป็น verb to be ใช้ตามหลังประธานเอกพจน์
และก็มีตัวอย่างประกอบ
มองในแง่ดีเรื่องการเอาตัวรอดใน รร.
ลูกโชคดีที่มี “การพูดค้ำการอ่าน”
เหมือนที่ผู้ใหญ่บิ๊กเคยเขียนไว้ในหนังสือ
คือเค้าจะไม่ต้องมานั่งท่องแบบนี้
เพราะว่าพอเค้าอ่านประโยคแล้วมันไม่คุ้น
เค้าก็รู้ว่ามันผิด เช่น
They is a girl. ไม่ได้ ไม่คุ้น แม่ไม่เคยพูดแบบนี้
แต่เมื่อมองอีกแง่หนึ่ง มันเป็นการทำร้ายเด็กชัดๆ
ลูกก็เริ่มคิดมากเวลาพูด คิดไม่ออกบ้าง (เพราะความถี่น้อยลง)
อาจจะคิดเป็นไทยมากขึ้นเวลาพูด ไม่ค่อยธรรมชาติเหมือนก่อน
4.สำเนียง เป็นสิ่งที่ฝึกได้ อันนี้ยืนยันว่าจริง
ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ กังวลว่าลูกจะได้สำเนียงไทยๆแบบเราไป
แต่ที่จริงแล้วเด็กมีความสามารถในการพูดได้เหนือกว่าที่เราคิดไว้
เค้าสามารถเลียนแบบภาษาจากสื่อต่างๆได้ดีกว่าเรา
ซึ่งสื่อพวกนี้มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า การที่เราควรหัดพูดให้ชัด
และมีสำเนียงแบบนั้นไปด้วย ลูกจะได้ชิน
มีหลายคนยืนยันว่า เด็กจะปรับระดับสำเนียงของตัวเอง
ให้เข้ากับคนที่จะพูดด้วยไ้ด้
5.เมื่อเด็กโตขึ้น การพูดจะน้อยลง ไม่รู้ว่าเป็นกันไหมคะ
คือขอใช้คำว่า “ไม่ช่างพูดเหมือนเ่ก่า” อาจเป็นเพราะว่าเค้า
เริ่มมีความคิดของตัวเอง มีช่วงเวลาส่วนตัวที่จะทำอะไรเีงียบๆเอง
บางครั้งอาจจะไม่ได้ฟังที่เราพูด ไ่ม่ได้ทำตามที่เราบอก
6.ตอนที่ฝ่าพันอุปสรรคเรื่องลูกต่อต้านตอนเด็กๆ
เล็กหาตัวช่วยเป็น “หนังสือนิทานภาษาอังกฤษ”
จากจุดเริ่มต้นในวันนั้น ลูกกลายเป็นเด็กรักการอ่าน
ทำให้เล็กไ้ด้อาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำควบคู่กับงานประจำคือ
“แม่ค้าขายนิทานภาษาอังกฤษเด็ก” ซึ่งต้องบอกว่า
ได้รับความช่วยเหลือและสนันสนุนมาโดยตลอดจาก
ครอบครัว “ผู้ใหญ่บิ๊ก” ต้องขอบคุณมากๆอีกครั้งและหลายๆครั้งค่ะ
7.เล็กลาออกจากงานประจำ ตอนสิ้นปี 2556
เพื่อจุดประสงค์หลายอย่าง
7.1 ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง
โดยการเปิดร้านขายหนังสือนิทานภาษาอังกฤษให้เป็นรูปเป็นร่าง
ซึ่งในที่สุด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 เล็กก็สามารถเปิดร้านหนังสือได้
7.2 สังคายนา ปรับปรุง การพูดภาษาอังกฤษกับลูกใหม่
แก้ไขบางจุดที่ยังบกพร่องทั้งแม่และลูก เรียนกันใหม่หมด
ทั้งเรื่องการออกเสียง โฟนิกส์ การเริ่มหัดอ่านหนังสือ
7.3 ตั้งใจว่าจะเรียนรู้ภาษาจีนกันอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มกันนานหลายปี
ยังไม่ไปไหนซักที เพราะข้ออ้างว่า “ไม่มีเวลา” แต่เมื่อมีเวลาแล้ว
และผ่านไป 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ไปไหนเหมือนเดิม 555555
มีข้ออ้างมาแก้ตัวอีกแล้วค่ะว่า ต้องการให้อังกฤษดีขึ้นก่อน ค่อยเริ่มจีน โฮะ..โฮะ
7.4 มีเวลาให้กับลูกและครอบครัวมากขึ้น อันนี้สำคัญเพราะว่า
เวลาเล็กตั้งใจทำอะไร เล็กจะทำเต็มที่ ซึ่งจะให้ดีต้องใช้ “เวลา”
7.5 ต้องการแบ่งปันเรื่องเกี่ยวกับ “หนังสือนิทาน” ให้เด็กๆได้โตมากับการอ่าน
โดยเล็กเขียนรีวิวหนังสือนิทานภาษาอังกฤษ เกือบทุกวันในเฟสบุ๊ค
www.facebook.com/farmfunbook และที่
www.kidbooksblog.blogspot.com
เพื่อชี้ให้พ่อแม่เห็นว่าหนังสือแต่ละเล่มมันมีอะไรแฝงอยู่บ้าง
เป็นแนวทางในการเลือกซื้อหนังสือ
8.คนที่เพิ่งเคยพบกันและได้ยินเราสองแม่ลูกพูดกัน
ชอบทักว่า “คุณแม่คงเก่งภาษาอังกฤษมาก่อนนะคะถึงทำได้”
เรามาดูคลิปวีดีโอที่เคยถ่ายไว้เมื่อเริ่มต้นพูดกับลูก
ได้ประมาณ 6 เดือนนะคะ ว่าภาษาอังกฤษของเราแย่แค่ไหน
แกรมม่า แกรมมั่วเต็มไปหมด คิดไม่ทันลูก น่าอายจัง
ส่วนลูกเล่าได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ธรรมชาติ แต่การออกเสียงแต่ละคำไม่ถูกต้อง
สำเนียงไทยๆ ห้วนๆ เนื่องจากเลียนแบบแม่จริงๆ
ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า “ใจร้อน” รีบสอน อยากให้ลูกพูดได้เร็วๆ
ลืมเรื่อง “การออกเสียง” ให้ชัด ไปสนิทเลยค่ะ
9.หลังจากผ่านไป 5 ปี การฝึกพูดอังกฤษกับลูกช่วยให้
ฟอร์มการพูดเิิริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เนื่องจากเราใช้ความถี่ ซ้ำๆ ย้ำๆ ที่มากพอ
และการเน้นย้ำบางคำให้ชัดๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า 5 ปี ดีแล้ว พอแล้วกับความพยายาม
เปล่าเลยเพราะว่าเรายังปรับกันอีกเยอะ
ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ทำได้ดีกว่าเราอีกมากค่ะ แต่อาจจะไม่ค่อยได้
นำมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราว
ส่วนเล็กยังต้องพัฒนาอีกเยอะ
เนื่องจากพื้นฐานเราแย่มาก่อน ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น
.
10.ขณะนี้เล็กมีความสุขอยู่กับงานที่รัก มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น
จะเห็นว่าการสอนเด็กสองภาษา ให้อะไรมากกว่าที่คิด…….
ผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เริ่มกันหรือยังคะ…….
อย่ามัวลังเล หรือสงสัยอยู่เลยค่ะ
เริ่มทำเลย ผิดถูก ค่อยๆแก้กันไป
หนทางนี้อีกยาวไกล
เป็นกำลังใจให้กันและกันนะคะ
เล็ก-แม่น้องเนย
Facebook : www.facebook.com/farmfunbook
Blog : www.kidbooksblog.blogspot.com
E-mail : leknoey@gmail.com
Line id : lek-noey