Posted by แม่น้องเนย on March 14, 2016 at 7:13am
วันนี้เป็นวันครบรอบ 7 ปี ที่เล็กพูดภาษาอังกฤษกับลูก
ก็ถือเป็นภาระกิจที่เราทำติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานทีเดียว
ไม่เคยคิดว่าจะสามารถประคองมาจนถึงวันนี้
ยังนั่งคิดอยู่ว่า ถ้าวันนั้น “เราไม่กล้าที่จะเริ่มต้น… วันนี้จะเป็นอย่างไร”
มองย้อนกลับไป วันแรกที่เราเริ่มต้น ก็คงเหมือนเพื่อนๆ
คือซื้อหนังสือ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้” มาอ่าน
แล้วเกิดแรงบันดาลใจ ไฟลุก พรึบพรับ..
ลึกๆยังคิดว่า “คุณบิ๊ก (ผู้แต่งหนังสือ) ไม่ได้จบเมืองนอก
ไม่ได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ยังทำได้ เราก็ต้องทำได้”
ไฟในใจลุก แต่สมองเรื่องภาษา ติดลบสุดๆ
1.ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย นอกจากคำศัพท์เล็กๆน้อยๆ
2.พูดได้เล็กน้อย ตามประโยคที่เรียนมา ตามแกรมม่าสุดๆ
3.สำเนียงไทย แท้…แท้…แท้…
ใครที่เคยคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการสอนลูกเป็นเด็กสองภาษา
คือคนที่มีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษดี ได้เปรียบ ขอบอกว่า “ผิด”
ส่วนใหญ่เป็นพวกที่แย่-ปานกลาง แต่มีความมุ่งมั่น สู้ไม่ถอย เพิ่มเติม เรียนไปพร้อมลูก
แต่ก็มีบางคน ที่มีพื้นฐานดีมาอยู่แล้ว ก็ต่อยอดไปได้ง่ายกว่า
อันนี้ยอมรับว่า โชคดี แต่ก็ต้องอาศัยความต่อเนื่องเหมือนกัน
เนื่องจากเรามีพื้นฐานมาไม่เท่ากัน เล็กขอพูดในประสบการณ์ที่ผ่านมาของเล็ก
ที่ผ่าฟันมาแบบไหน หลายคนอาจจะคิดว่าเล็กมาแบบสบายๆ
เพราะว่ามาเจอน้องเนย ตอนที่พูดอังกฤษลื่นไหลแล้ว มาดูความจริงกันค่ะ
เราเริ่มพูดอังกฤษกันตอนที่ลูกอายุ 2 ขวบครึ่ง ดังนั้นเค้าโตพอ
ที่จะพูดภาษาไทยคล่องแล้ว จึงทำให้เกิดอาการต่อต้าน แต่เราก็ค่อยๆปรับเค้าไปค่ะ
-ระหว่างวันฝึกพูดกับลูก พูดไปหยุดไป ตะกุกตะกัก (คิดไม่ออก)
-อ่านนิทาน อ่านๆ หยุดๆ (ออกเสียงไม่ถูก)
-เปิดดิกชั่นนารี่ออนไลน์ เช็คการออกเสียงคำศัพท์
-เข้าเวป www.2pasa.com ที่ห้องอังกฤษ
-ตั้งคำถาม ว่าพูดแบบนี้ ต้องพูดอย่างไร
-รอคำตอบจากท่านผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์
-เอาประโยคเหล่านั้นมาพูดให้คล่อง 5-10 รอบ
-เอาประโยคนั้น ไปพูดกับลูกบ่อยๆ
-เข้า Youtube เปิดนิทานฟังเองก่อน
-เปิด DVD นิทานให้ลูกฟัง ฟังพร้อมกัน (ยังฟังไม่ออก)
-Copy MP3 บทสนทนามาฟังเอง
-ไปห้องสมุด หาหนังสือมาอ่านเพิ่ม
-จดประโยคภาษาอังกฤษทุกที่มาพูด เช่นรถไฟฟ้า, ป้ายโฆษณา
-ฝึกอ่านนิทาน เปิดดิก ก่อนที่จะอ่านให้ลูกฟัง
-อ่านนิทานให้ลูกฟัง ก็ค่อยๆคล่องขึ้น
ระหว่างทางที่เดินไป มีทั้งน้ำตา และเสียงหัวเราะ
น้ำตาทำให้เราอ่อนแอ เกือบจะเลิกภาระกิจ
แต่เสียงหัวเราะของลูกตอนละเมอเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เราแปลกใจ และ ฮึดสู้…
งงไหมคะ เด็กสามารถละเมอเป็นภาษาอังกฤษได้
ซึ่งเด็กทุกคนผ่านจุดนี้มาแล้ว ถามกันได้เลยค่ะ
มาถึงวันนี้ อยากจะบอกว่า อยากให้เริ่มพูดภาษาอังกฤษกับลูกที่บ้าน
ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในท้องได้ยิ่งดี หรือตั้งแต่คลอดออกมา
เพราะว่าเด็กสามารถรับรู้และจดจำได้ถึง โทนเสียงที่ผู้เป็นแม่เปล่งออกมา
แม้เค้าจะไม่รู้ว่า นั่นคือ ภาษาไทย หรือ ภาษาอังกฤษ
ถ้าเรามาเริ่มต้นตอนที่เค้าโตแล้ว
1.การเรียนแบบแปลในโรงเรียนจะทำให้เค้าปฎิเสธเรา
2.กิจกรรมมาก ทำให้เราไม่มีสมาธิสอนลูก
3.การบ้านมาก ทำให้เราต้องพูดไทย
4.ลูกเริ่มไม่พึ่งแม่มาก เค้าจะไม่อยู่กับเรา
5.ประโยคที่เราใช้ก็จะเปลี่ยนไป
สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า การหวังพึ่งโรงเรียน ให้โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ
ให้ลูกพูดได้ ควรเป็นคำตอบสุดท้าย หรือ ไม่ควรพึ่งเลย
ด้วยจำนวนนักเรียนมากมาย ครูอาจจะสอนได้ไม่ทั่วถึง
ทักษะการฟังอาจจะได้ แต่ทักษะการพูด “ต้องเริ่มที่บ้าน” นะคะ
วันก่อนเพิ่งได้เจอคุณแม่ที่โรงเรียนอินเตอร์แห่งหนึ่ง
ที่ไปออกบู๊ทขายหนังสือนิทานภาษาอังกฤษที่นั่น
คุณแม่ท่านนี้ เคยไปเข้าเวิร์คช๊อป เด็กสองภาษา เมื่อ 5 ปีก่อน
ตอนลูกอยู่ในท้อง คนที่พูดภาษาอังกฤษกับลูก คือคุณพ่อ
เค้าพูดกันมาตั้งแต่เกิด และส่งลูกมาต่อยอดเรียนที่โรงเรียนอินเตอร์
เธอบอกว่า เธอมั่นใจที่จะบอกใครๆว่า
การสอนหรือพูดอังกฤษที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก
มีผลดีมากกว่า จะมาหวังเอาที่โรงเรียน
ถ้าเปรียบเทียบลูกเธอ กับ ลูกคนอื่น ครูบอกว่า
ลูกเธอมีทักษะการพูดที่ดีกว่า เข้าใจ และโต้ตอบได้ดีกว่า ทั้งๆที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน
ไม่ต้องสงสัยแล้วค่ะ เริ่มกันเลย ถ้าจะรอให้พูดได้ดี
สมบูรณ์ ลื่นไหล แล้วค่อยมาสอนลูก คงไม่ทันแน่ๆ
เริ่มเลยค่ะ เริ่มไปก่อน ให้สมองเราได้สั่งงานก่อน
แล้วค่อยๆปรับกัน เอาใจช่วย สู้สู้ กันนะคะ
สุดท้ายขอขอบคุณครอบครัวคุณบิ๊ก
ที่เป็นผู้จุดประกาย มอบสิ่งดีๆ ให้บ้านเรามากมาย ขอบคุณค่ะ