Posted by Sky Walker on July 11, 2018 at 11:00am
ก่อนอื่นขอเล่าความรู้สึกแรกเริ่มเพื่อเป็นบันทึกส่วนตัวไว้ให้ตัวเองมาอ่านเองทีหลังด้วยนะคะ (ยาวมากๆ) (บันทึกไว้ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2012 ก่อนลูกจะครบ 2 ขวบ) โดยส่วนตัวแล้ว เราเรียนภาษาอังกฤษมาตลอดตั้งแต่อนุบาลจนจบมหาลัยเหมือนคนส่วนใหญ่ทั่วไป รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 16 ปี ดูเยอะเนอะ แต่ชีวิตจริงแทบไม่ได้พูดเลย แถมไม่กล้าพูดอีกต่างหาก พอถึงเวลาใช้งานจริงก็พูดผิดพูดถูก ลนประจำ ทั้งๆ ที่ก็เรียนมาอ่ะเนอะ แต่มันไม่ชินจริงๆ ตั้งแต่ตั้งครรภ์เราก็คิดมาตลอดเลยว่า อยากสอนลูกพูด 2 ภาษา เพราะอยากให้ลูกพูดได้แบบธรรมชาติ ตอนแรกไม่มีแนวทางไรเลย พอลูกเกิดก็พูดภาษาอังกฤษกับลูก พูดบ้าง ลืมบ้าง นึกได้ก็ทำ แถมออกจะเขินๆ ที่จะทำด้วยถึงแม้จะพูดเฉพาะตอนอยู่กะลูกสองคนก็ตาม
ต่อมาได้มาเจอหนังสือ “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” อ่านแล้วก็รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้อ่าน ฮึด! พูดภาษาอังกฤษกับลูกได้พักนึง ทำเองโดยไม่มีแนวทางอะไร พอสักพักก็ชักแผ่วๆ จนลูกอายุ 1 ขวบ ไปเจอหนังสือ “เด็ก 2 ภาษาพ่อแม่สร้างได้” แล้วก็ไฟลุกอีกครั้ง เป็นหนังสือที่โดนใจมาก อ่ะฟิตใหม่ พูดกับลูกภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ พอสักพักก็เรื่อยเปื่อยอีกล่ะ เพราะไม่มีแรงกระตุ้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีแบบอย่างที่เห็นได้จริงๆ หลังจากซื้อหนังสือมาได้หลายเดือนเพิ่งจะสนใจมาเข้าเวป 2 ภาษา พอเข้ามาดูเวป โอ้โหตื่นเต้นที่เห็นเด็กหลายๆ คนพูดได้ จำได้ว่าตื่นเต้นมากตอนดูคลิปน้องเพ่ยเพ่ย เรียก bird ตอนนกบินผ่านหัว ในใจก็คิด โอ้โห ทำได้ไงเนี่ย เก่งจัง ลูกเราจะทำได้เหรอเนี่ย แอบเครียด
เราก็เล่าให้ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทมากๆ ฟัง ซึ่งตัวน้องเราคนนี้เค้าเป็นคนตาบอดแต่เรียนจบปริญญาตรีได้ด้วยตัวเอง เค้าเรียนเทียบเอาเองมาตั้งแต่ประถม 1 เพราะตามองไม่เห็น เรียนพร้อมคนปกติไม่ได้ เค้ามุมานะ พยายาม(มาก) จนเรียนจบ กศน. ม. 6 ได้ด้วยตัวเอง แล้วไปต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่มีหลักสูตรสำหรับคนตาบอดโดยเฉพาะ น้องคนนี้ก็บอกว่า พี่ต้องสอนลูกได้แล่ะ เพราะพี่ก็เคยสอนเค้าเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้สอนน้องเค้าเลย แค่เคยอัดเสียงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้น้องเอาไปฟังสมัยน้องเค้าเด็กๆ ล่ะน้องเก่งและขยันมุมานะมากๆ แค่ใช้หูฟังเทปก็จำได้ แล้วเค้าก็ไปต่อยอดเรียนมหาวิทยาลัยเอาเอง เรียนภาษาอังกฤษอีกหลายเล่มเอง จนตอนนี้พูดกับฝรั่งรู้เรื่อง เอาไปใช้พูดทำงานเป็นไกด์พาฝรั่งชมนิทรรศการ Dialoge in the Dark ที่จามจุรีสแควร์ได้ ถึงแม้จะถูกบ้างผิดบ้าง แต่ก็สื่อสารกับฝรั่งรู้เรื่อง (ปัจจุบันน้องเพิ่งมาปรึกษาเราว่าอยากพูดให้ถูกต้อง เราก็ช่วยแปลได้แค่นิดหน่อย คำยากๆ ส่วนใหญ่ เราขอความช่วยเหลือจากพี่แอ๋ว แม่น้องเจคอบ ช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษ ขอบคุณมากๆๆ มาอีกครั้งนะคะพี่แอ๋ว ^_^)
สรุปคือเราทึ่งน้องเค้ามากที่มีความพยายามและขยันจนเราต้องอายเลย แถมน้องเค้ายังบอกอีกว่า ถ้าขนาดน้องยังทำได้ ถ้าพี่พยายามสอนลูก ลูกของพี่ก็ต้องได้แล่ะ พอได้ฟังล่ะกำลังใจมาเยอะเลยน้อง ก็เอานะ ถ้าได้ลงมือทำแล้วถึงแม้จะไม่ได้ผล ก็ดีกว่าไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยอะเนอะ ถ้าไม่ได้น้องคนนี้พูดจุดประกาย เราก็คงไม่ไฟลุกขนาดนี้ ยังนึกขอบคุณน้องเค้าอยู่จนถึงทุกวันนี้เลย
ตั้งแต่ลูกเราอายุ 1.2 ขวบ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาพูดอังกฤษกับลูก พูดตลอด แฟนเราก็สนับสนุนเต็มที่ น่ารักมาก ล่ะแฟนเราเค้าถนัดภาษาอาหรับ เราก็เลยอ่ะ งั้นเราก็สอนคนละภาษาไปเลย รับผิดชอบไปคนละภาษา เธอมั่วชั้นก็ไม่รู้ ส่วนชั้นมั่วเธอก็ไม่รู้ 555 ลูกน่าจะได้ไรบ้างแล่ะนะ สักคำสองคำก็ยังดี ตอนนั้นไม่กล้าหวังสูง ส่วนภาษาไทยเด๋วไว้ให้ปู่ย่าตายายสอนแล้วกัน แต่เราก็พูดเฉพาะตอนอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูกน่ะ เขิน ไม่กล้าให้ใครรู้ ไม่อยากโดนแอนตี้ ไม่อยากอธิบายไรกะใคร กะว่าให้ลูกพูดได้เองแล้วค่อยเปิดตัว หรือถ้าลูกพูดไม่ได้เลย เราก็จะได้ไม่ต้องโดนด่าฟรีว่าไปสอนทำไม 555 คือตอนทำก็ไม่คิดนะว่าผลลัพธ์จะได้แบบไหน ไม่กล้าหวัง แค่อยากจะทำให้ลูกในฐานะพ่อแม่
แต่ข้อเสียเราคือ ปกติเราไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว เราเลยไม่ค่อยพูดไรมากกับลูก เลยไม่รู้ว่าทำให้ลูกพูดช้าหรือป่าว เพราะกว่าลูกจะพูดคำที่มีความหมายได้ก็ 1 ขวบ 3 เดือนล่ะ คำแรกพูดว่า “Wow” แต่มันมีความหมายอารายเนี่ย 555 เราชอบร้องว้าวๆ ตอนเรียกให้ลูกดูอะไรสักอย่าง แค่เค้าพูดคำนี้ได้เราก็ดีใจล่ะ มานึกย้อนๆ ไปล่ะก็ขำดี คำที่ 2 คือคำว่า “Yeah” คำที่ 3 พูดตอน 1 ขวบ 4 เดือน คำว่า “bear” พูดตอนดูรูปหมี โอ้ แม่ดีใจสุดๆ คำนี้เริ่มมีความหมายและภาพประกอบจริงๆ ล่ะ
คือก่อนหน้านี้เราพูดคนเดียวจนท้อเลยว่าเมื่อไหร่หนูจะพูดกับแม่สักคำค่ะ ท้อทีไรก็ต้องเข้ามาเปิดเวป 2 ภาษาทุกทีจะได้มีแรงฮึด เราชอบเข้ามาอ่านบล้อคที่คุณแม่ท่านอื่นเขียนนะคะ อ่านแล้วฮึดดี จะได้สู้ๆ สักวันลูกเราคงพูดกับเราแบบนี้บ้าง บอกได้เลยว่า ถ้าคุณบิ๊กทำแต่หนังสือขายนี่ เราคงไม่ได้มีไฟสอนลูกให้พูด 3 ภาษาจริงจังขนาดนี้ อาจจะเลิกไปแล้ว หรือเรื่อยเปื่อยกว่านี้ แต่เพราะคุณบิ๊กสร้างเวปไซด์ไว้ให้ทุกคนมาต่อยอดความรู้ แชร์ประสบการณ์ เราเลยมีไฟมาได้ถึงจุดนี้ เพราะมีเพื่อนๆ พ่อแม่อีกหลายคนที่มีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน เลยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวที่ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน (โดยเฉพาะชาวบ้านแถวบ้านเรา 555) เราต้องขอบคุณคุณบิ๊ก และแม่ๆ ทุกคนที่เขียนบล้อคจริงๆ ค่ะ
นอกจากนี้ คุณเม หม่าม๊าเฮง ยังได้แนะนำให้อ่านหนังสือ “How to multiply your baby’s intelligence” โดย Glenn Doman ซึ่งเราคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมากค่ะ ขอบคุณคุณเมที่นำมาแชร์ เวลาไหนที่เรารู้สึกเรื่อยเฉื่อยมากๆ เราก็จะหยิบหนังสือ 3 เล่มนี้มาอ่านวนเวียนๆ กระตุ้นความขยันตัวเองอยู่ตลอดเลยล่ะค่ะ ถึงแม้จะทำให้ขยันได้แป้บๆ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เลย 555
ในส่วนฟีตแบคครอบครัวเรานะค่ะ คนแรกที่เราเปิดเผยให้รู้ว่าเราพูดภาษาอื่นกับลูกคือ แม่เราเอง ตอนเรากลับบ้านไปหาแม่ เราก็ลองพูดภาษาอังกฤษต่อหน้าแม่ ดูสิว่าแม่จะว่าไง สรุปว่าโดนแม่บ่น 555 อย่างที่เรานึกไว้เลยว่าโดนบ่นแน่ๆ เราก็บอกๆ ไปว่า ก็ลองพูดดู เราก็พอพูดได้ แถมก็ไม่ได้เสียตังค์ไปเรียน ได้ไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แม่เราก็พูดว่า “ภาษาไทยอย่างเดียวก็ให้หลานพูดได้ก่อนเถอะ” เราก็ทำหูทวนลมนะ แค่อยากเช็คฟีตแบ็กว่าจะโดนบ่นป่าว ล่ะก็โดนจริงๆ ด้วย เราเลยยิ่งไม่กล้าบอกคนที่บ้านแฟนเลย
แต่อยู่มาวันนึงลูกเราก็พูดขึ้นมาเองต่อหน้าคนอื่น คือปกติเค้าจะพูดให้เรากับแฟนได้ยินแค่ 2 คนเท่านั้น คำแรกที่เค้าพูดให้คนในบ้านที่เป็นคนอื่นๆ ได้ยินคือคำว่า clock จำได้ว่าญาติในบ้านตกใจมากที่พูดได้ แถมเสียงลงท้าย k ชัดมากจนเค้าชมกัน เราก็ดีใจเลย หลังจากนั้นเราเองก็ค่อยๆ กล้าพูดให้คนอื่นได้ยินบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้จัดเต็มมาก เพราะยังแอบเขินอยู่ดี กะว่าจะรอให้ลูกพูดโต้ตอบได้ก่อน พอต่อๆ มาลูกพูดโต้ตอบได้บ้างก็ดีใจมากๆ เลย ความพยายามที่ทำมาเริ่มเห็นผลล่ะ ตอนแรกที่ไม่คิดว่าลูกจะทำได้เลย เค้าก็ทำได้แล้วจริงๆ พอลูกเราพูดคำภาษาอังกฤษคำแรกได้ คำอื่นๆ ก็ตามมาเรื่อยๆ ตามความถี่ และความชอบของเค้า อย่างลูกเราจะชอบสัตว์ จะพูดสัตว์ได้ก่อน ตามด้วยผลไม้ที่เค้าชอบ ลูกเราพูดแต่อังกฤษล้วน จนคุณพ่อแอบกลัวเหมือนกันว่าจะไม่ได้ภาษาที่ 3 ต่อมาคุณพ่อย้ำบ่อยๆ เค้าก็เริ่มพูดภาษาอาหรับตาม แต่จำนวนคำจะน้อยกว่าภาษาอังกฤษ เพราะแฟนเรามีเวลาอยู่กับลูกน้อยกว่า
ส่วนภาษาไทยนี่ไม่เคยสอนเลย เคยไปลองเรียนที่รร. กิจกรรมเด็กเล็ก ตอนลูกอายุเกือบจะ 1 ขวบ 7 เดือน ลูกก็เหมือนฟังคำภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ แถมพูดไทยไม่ได้ แม่ต้องคอยแปลอังกฤษให้ แม่เลยไม่ได้ลงเรียนตอนนั้น เพราะคิดว่าถ้าฟังไทยไม่รู้เรื่องจะไปทำตามครูได้ยังไง แถมแม่แอบห่วงว่าแล้วถ้าลูกเค้ารร. อนุบาลล่ะจะทำไง เพราะคงไม่ได้ส่งเรียนอินเตอร์อยู่แล้ว หลงเครียดไปพักนึง ที่ไหนได้ !! พาไปเที่ยวค้างต่างจังหวัด 4 วันกับคุณยาย กลับมาเท่านั้นแล่ะ โอ้ พูดไทยได้เรื่อยๆ
ผ่านไปไม่ถึง 2 เดือน เข้าใจคำไทยขึ้นเยอะเลยไปลงเรียนกิจกรรมอีกทีตอนอายุ 1 ขวบ 8 เดือน ตอนแรกเรากับแฟนดีใจมากเลยเวลาที่ลูกพูดคำไทยได้แต่ละคำ เพราะว่าไม่เคยสอนเค้า เลยตื่นเต้นมากที่เค้าพูดได้เอง คิดว่าลูกเก็บคลังคำศัพท์ภาษาไทยโดยแอบฟังเรากับแฟน และพวกญาติๆ ทั้งหมด พูดกัน ล่ะเค้าก็พูดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครใช้ความพยายามสอนอะไรเลย แหมแต่ยิ่งพอลูกโตขึ้นๆ ภาษาไทยนี่มาแรงจริงๆ จากที่ดีใจทำเอาเริ่มเครียดล่ะ เพราะกลบภาษาอื่นหมด เรากับแฟนต้องคอยย้ำกับลูกด้วยภาษาอังกฤษและภาษาอาหรับ ตอนอยู่ด้วยกันตลอด เพราะกลัวลูกจะลืม สรุปว่าภาษาที่ง่ายที่สุดคือภาษาไทย ที่เป็นสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่นั่นเอง
ปัจจุบันลูกอายุ 1 ขวบ 11 เดือน พูดคำได้เยอะขึ้นมาก ถึงแม้จะไม่ได้เท่าเด็กที่พูดเร็วคนอื่นๆ ที่พูดเป็นประโยคไทยได้แล้ว แต่ลูกเราพูดทั้ง 3 ภาษา พูดแบบเรื่อยเปื่อย เห็นสิ่งของหรือสัตว์ก็พูดขึ้นมาเอง หรือคำกริยาที่ทำบ่อยๆ เค้าก็พูดได้ แต่ตอนนี้เค้าจะสับสน พูดทั้ง 3 ภาษา บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง 555 อยู่กับแม่ ลูกจะพูดอังกฤษง่ายมาก แต่พอลงไปข้างล่างบ้านเจอญาติคนอื่นๆ เธอจะไม่ยอมพูดอังกฤษเท่าไหร่ เธอจะคุยไทยล้วน แต่เราก็ไม่ได้เครียดอะไรนะคะ เพราะว่าพอขึ้นบ้านเรา เค้าก็พูดอังกฤษกับเราเหมือนเดิม เหมือนเค้ารู้ว่าถ้าอยู่กับคนอื่นต้องพูดไทย ส่วนกับแฟนเราเค้าก็คุยกันภาษาอาหรับ แต่ถือว่าได้น้อยที่สุด ตอนนี้เรากลัวว่าเค้าจะไม่ค่อยได้ภาษาอาหรับมากกว่า เพราะแฟนเราไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ เรายังต้องหาทางแก้ไขต่อไป
ส่วนตัวแม่ตอนนี้ ปัญหาที่เครียดสุดตอนนี้คือ นึกคำศัพท์ นึกประโยคที่จะพูดกับลูกไม่ออก วันที่เรากลัวมาถึงแล้ว คือวันที่เราไม่รู้จะเอาอะไรไปพูดกับลูก ตอนนี้เลยต้องนั่งอ่านหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษที่ซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสืออยู่บ่อยขึ้น ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกยาก เหนื่อยด้วย รู้สึกหัวไม่ไบรท์ จำไรยากมาก ไม่เหมือนตอนเด็กเลย นึกล่ะอยากมีเพื่อนเป็นฝรั่งมากเลย จะได้ให้ลูกไปเล่นด้วย เฮ้อ แต่ก็ต้องพยายามต่อไป แรงกระตุ้นเดียวตอนนี้คือ เข้ามาอ่านเวป 2 ภาษา อ่านบล้อคของคุณแม่คนอื่น ดูวีดีโอของเด็กคนอื่น จะได้มีไฟ ไม่ท้อไปสะก่อน
สิ่งที่เราสอนลูกไปวันๆ เท่าที่นึกออก ก็คือ
– ตื่นมาก็ถามว่าหลับสบายมั้ย หนูนอนหลับกับสัตว์อะไรวันนี้ (ลูกเราชอบใส่เสื้อเป็นรูปสัตว์นอน)
– ตอนอาบน้ำนี่สอนได้เยอะมาก อาบไปก็สอนอวัยวะถูสบู่ตรงนี้ เรียกว่าอะไร ตอนที่ลูกยังพูดไม่ได้ เราก็รู้สึกเหมือนว่าใกล้บ้าล่ะชั้น พูดอยู่คนเดียว ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน แต่พอตอนเค้าพูดได้ โอ้โห อวัยวะที่เคยสอนไว้ตอนอาบน้ำ ได้หมดเลยอ่ะ ดีใจ
– หลังจากนั้น ก็สอนเค้าว่าแต่งตัวใส่เสื้อมีรูปอะไรวันนี้ ติดกระดุม ใส่กางเกง ใส่ถุงเท้า รองเท้า
– เดินเล่นในบ้านก็สอนต้นไม้ ดอกไม้ รั้ว ประตู สัตว์ที่เลี้ยงในบ้านมีอะไรบ้าง
– ตอนเล่นกีฬาก็สอนเตะบอล ขี่จักรยาน วิ่ง ออกกำลังกายอะไรบ้าง
– เรียกชื่อสิ่งของในบ้านว่านี่อะไร สอนเรียกคุณปู่ คุณย่า
– ไปสวนสัตว์กันบ่อยมากตอนที่ว่างๆ แล้วได้ผลในการจำดีกว่าชี้หนังสือที่บ้าน เพราะให้เค้าเอาอาหารไปป้อนสัตว์เองเลย จะได้จำแม่นๆ กลับมาบ้านวันสองวัน จำได้ล่ะว่านี่คือสัตว์อะไร
– อ่านหนังสือของเด็กเล็กให้เค้าฟัง สอนศัพท์ต่างๆ
– สอนอ่านหนังสือตั้งแต่ 1 ขวบ 3 เดือน ทำให้เค้ารักการอ่านและจำคำศัพท์ได้ดีขึ้น (ลูกเราเริ่มอ่านหนังสือออกเป็นคำๆ ได้ตอน 1 ขวบครึ่งค่ะ)
– ฟังเพลงที่สอนเด็กต่างๆ ที่มาจากยูทูปบ่อยๆ
– เล่นกับตุ๊กตาของลูก แกล้งถามว่าตอนนี้ตุ๊กตาทำอะไรอยู่ค่ะ เพื่อสอนกริยา
– ติดโปสเตอร์ที่สอนเรื่องต่างๆ ของเด็ก ส่วนใหญ่เราจะติดโปสเตอร์สัตว์เพราะลูกชอบ ลูกก็จะเรียกถูกหมดเลย แบบว่าเห็นผ่านตาบ่อย
คลิปด้านล่างคือบันทึกพัฒนาการช่วงหลังนะคะ ช่วงเล็กๆ ลูกสาวไม่ชอบให้อัดคลิปเลย โดยการฝึก 2-3 ภาษา ทักษะที่ได้จะเรียงตามวัยเค้านะคะ
1. ฟัง
ทักษะฟังมาแรกสุด เพราะลูกยังอยู่ในวัยที่พูดไม่ได้ เราเริ่มพูดภาษาอังกฤษช่วง 1.02 ขวบ ช่วงนี้ลูกยังไม่เริ่มพูดสักภาษาเลย แต่ฟังภาษาแล้วสามารถทำตามคำสั่งพ่อแม่ได้ค่ะ คลิปนี้เพิ่งมาอัดช่วง 1.07 ขวบนะคะ
http://www.youtube.com/embed/8oKPISkhfI8?wmode=opaque
2. พูด
ลูกเราเริ่มพูดคำได้ตอน 1.03 ชวบแต่มาพูดจริงจังเป็นคำมีความหมายตอน 1.04 ขวบค่ะ พอเธอเริ่มพูดได้ เธอก็พูดไม่หยุดเลยค่ะ 555 ในคลิปเราเพิ่งมาอัดตอน 2.05 ขวบค่ะ
3. อ่าน
เราสอนลูกเราอ่านหนังสือตอน 1.3 ขวบและ ลูกเราเริ่มอ่านหนังสือเป็นคำๆ ได้เองตอน 1.6 ขวบค่ะ อ่านได้เองทั้ง 3 ภาษา อังกฤษ-อาหรับ-ไทย
http://www.youtube.com/embed/FyJWevR7zyo?wmode=opaque
***เรามีเขียนบล้อคสอนลูกอ่านหนังสือโดยใช้แฟลชการ์ดไว้ตามลิงค์นี้นะคะ http://go2pasa.ning.com/profiles/blogs/flash-card-3
4. เขียน
เราไม่ได้เน้นให้ลูกเขียนเลยค่ะ เราคิดว่ากล้ามเนื้อมือจะพัฒนาตามวัยเค้า แต่ช่วงเล็กๆ เราก็ให้เค้าเล่นกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมือแทน เช่น ปั้นแป้งโดว์ ระบายสีหรือจริงๆ คือละเลงสี พอมือเค้าจับดินสอได้ เราก็สอนให้ลากเส้นโยงจุด สอนเป็นภาษาอังกฤษนะคะ เค้าก็ทำได้ดีค่ะ
โดยส่วนตัวเราคิดว่าตัวเรายังทุ่มเทไม่ได้ดีเท่าไหร่เลย จริงๆ ต้องบอกว่าระดับความทุ่มเทที่สอนลูกจริงๆ น้อยมาก ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเลย เพราะมัวแต่ไปเสียเวลากับอะไรก็ไม่รู้ อยากให้วันนึงมีสัก 48 ชม. ยิ่งตอนนี้ลูกจะ 2 ขวบล่ะ ช่วงเรียนรู้ดีๆ ผ่านไปแล้วตั้ง 2 ปี คิดล่ะก็เสียดายเวลา เราอยากทำให้ได้อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นในเวปนี้ทำ เพราะเรารู้สึกว่าพวกคุณเป็นสุดยอดคุณพ่อคุณแม่จริงๆ เราไม่เคยเจอพ่อแม่แบบนี้ในชีวิตจริงของเรา เราเพิ่งเคยเห็นก็จากเวป 2 ภาษานี่แล่ะ ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านบิ๊กและลูกบ้านทุกคนจริงๆ ค่ะที่ทำให้เรามีไฟอยากจะสอนลูก และขอบคุณมากๆ เป็นพิเศษสำหรับพี่แอ๋ว แม่น้องเจคอบที่ช่วยตอบคำถามทุกเรื่องให้เราตลอด ”คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจสอนลูก 2 ภาษาสู้ๆ นะคะ เหนื่อยพ่อแม่หน่อยตอนนี้ แต่ลูกสบายเมื่อเค้าโตค่ะ
*** เราได้เขียนบันทึกพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกสาววัย 1 ขวบ 11 เดือน ไว้ที่ลิงค์นี้นะคะ (มี 2 ภาค) เผื่อเป็นไอเดียให้คุณพ่อ/คุณแม่ ไว้ใช้สอน(ผ่านการเล่นสนุกๆ) กับลูกนะคะ เรียนทุกอย่างผ่านกิจกรรมหรือเกมส์สนุกๆ นะคะ