Posted by mom_jenita on January 17, 2010 at 3:30am
วันนี้ เกิดอาการอยากเขียนบล็อกขึ้นมาอย่างมากมาย(ตอนตี 2) ไม่รู้อารมณ์อาไรเหมือนกัน อันเนื่องมาจากเมากับการลงข้อมูลและการแปลผลงานวิจัยมาได้ เกือบเดือนแล้ว แม้ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก แต่อยากจะโยนมันทิ้งละ 555….
ว่าด้วยเรื่องระบบการสอนของบ้านเราละกัน อันดับแรก เค้าบอกต้องเลือกระบบกันก่อน
บ้านเราเริ่มต้นกันที่ระบบ OTOL แบบที่พูดประโยคไหนได้ก็พูดไปก่อน(ซึ่งตอนแรกน้อยมาก จนไม่สามารถคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ อิอิ) อันเนื่องมาจากความสามารถอันน้อยนิดของแม่นั่นเอง บ้านเรามีปัญหากันเรื่องเวลา ไม่ใช่เวลาในการสอนลูก เพราะเราถือว่า เวลาที่เจอลูกตอนเช้า ตอนเย็นหลังเลิกเรียน และวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ถือว่ามากมาย มหาศาลสำหรับเรา แต่ปัญหาของเราอยู่ที่ เวลาในการพัฒนาตัวเอง(แม่)นั่นเอง
จากนั้น เราก็พยายามใช้เวลาตอนสติแตกจากงาน ช่วงกลางวัน (ซึ่งเป็นอยู่บ่อยๆ) เวลาที่เบื่อทำงานบ้าน เวลาช่วงดึก หลังลูกนอน เวลาใกล้เช้า ที่คนอื่นเค้านอนกันหมด แต่เรายังไม่ได้นอน เศร้าเจง เจง…. ทำไงได้ ก็ไม่ตั้งใจฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่ที่ยังว่าง กว่าตอนนี้ ก็ต้องมาฝึกกันตอนนี้ล่ะ …พยายามถูไถ เพิ่มเปอร์เซ็นต์ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าบ้านเราจะรอดมั้ยเนี่ย ลูกจะพูดกับเค้าได้บ้างมั้ย เอางี้ดีกว่า “คุณพ่อมาช่วยกันพูดเลย” จะได้เพิ่มๆเปอร์เซ็นต์กันไป ใครใคร่พูดอะไรได้ ก็พูดไป 555… แต่เวลาของคุณพ่อมันก็ช่างน้อยนิด และก็ไม่ได้มานั่งตามติดกระทู้แบบเรา เลยพูดได้ไม่ค่อยเยอะมาก โอเค…งั้นเอาใหม่ พ่อต้องมาช่วยพานับเลขไทย อ่านนิทานไทยอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 เรื่อง ว่าเข้าไปน่าน… ไปไป มา มา สิ่งที่วางแผนไว้ก็มั่วไปหมด รู้สึกว่าคุณพ่อจะเคยอ่านนิทาน 3 เรื่อง แค่ครั้งเดียวเองแหละ หลังจากนั้น ก็งง งง แต่ก็ต้องให้อภัย ก็พ่อ เดี๋ยวก็อยู่เวร ออกเวรมาเช้าบ้าง ลูกนอนแล้ว พ่อค่อยกลับบ้าง บางทีก็อยู่เวรต่อกันหลายคืน เอาล่ะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เหมาเองคนเดียวละกัน เราเลยต้องมาจัดตารางชีวิตเรื่องภาษากันใหม่ เอาเป็นสอนอ่านไทย นับเลขไทย อ่านนิทานไทย พูดภาษาอังกฤษ แม่หมดเลยละกัน ตอนช่วงนั้นก็พูดไทยละกัน พ่อทำเหมือนเดิม พูดอะไรได้ก็พูดไป เราทำกันเรื่อยมา ลืมวันลืมคืน ด้วยความยุ่งยากทั้งการเรียนของแม่ ความวุ่นวายในงานหนักของพ่อ และหน้าที่แจ๋วที่บ้าน ที่ต้องทำมันเองทุกอย่าง เนื่องจากไม่มีพี่เลี้ยงหรือแม่บ้าน
จนกระทั่งเราเดินมาถึงจุด ที่ใกล้เคียงความจริง แม่พยายามกระเสือกกระสนดิ้นรน(อ่านแล้วเห็นภาพมั้ยเอ่ย มันเป็นยังงั้นจริงๆ) ให้พูดภาษาอังกฤษได้มากพอสมควร แม้บางทีจะพูดไปแบบถูลู่ถูกัง ศพไม่ค่อยสวยก็ตามที ต้องมาทำการบ้านตบแต่งประโยคให้สวยงามทีหลัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจในครั้งต่อไป 555.. โดยเหล่าบรรดาคุณครูที่น่ารักของ eng club นั่นเอง แต่ให้ตายเถอะ พอมาถึงตอนบ่นนี่ไม่ได้อย่างใจ จริงๆเลย มีวันนึง เรากลับไปหาคุณตา คุณยายกัน และต้องไปส่งคุณตา คุณยาย ไปงานเลี้ยง เจ้าขาก็เกิดอาการงอแง ง๊องแง๊ง พูดไม่รู้เรื่อง แม่ก็พยายามถูไถ อบรมกันเป็นภาษาอังกฤษ แต่รู้สึกจะไม่รอด รู้สึกสอนไม่ได้อย่างใจ แม่ก็เลยเปลี่ยนเป็นพูดไทยมันซะเลย แต่ตอนเปลี่ยนก็เกิดอาการแปลกๆนิดหน่อย เนื่องจากแม่เองก็เริ่มคุ้นเคยในการพูด กับลูกแบบนี้แล้วเหมือนกัน บ่นไปซะยาว พูดจบ
ต้องซักซ้อมสิ่งที่บ่น ว่าเข้าใจมั้ย ถามกลับไป เจ้าขาก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษมา พูดอีก เจ้าขาก็ยังคงพูดภาษาอังกฤษ มันเป็น reflect ที่โต้กลับ ไปมาอยู่หลายที โดยที่ action ไม่เท่ากับ reaction จนทำให้เรารู้สึกแปลกๆ เหตุการณ์ในรถครั้งนั้น ทำให้ตอนกลับมาบ้าน เราต้องนั่งคิดว่า เอ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เราใช่มั้ยที่มีปัญหา เราทำให้ลูกชินที่จะพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แต่ตัวเองไม่ยอมพัฒนาตัวเอง ก็เป็นแรงผลักเราให้ตัดสินใจที่จะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ 100% จากนั้นเวลาผ่านไปกว่า 1 เดือน แบบเร็วมาก หลายครั้งที่จดๆจ้องๆกับนิทานไทย ว่าเอาไงดีเนี่ย แล้วใครจะอ่านล่ะทีเนี้ย ใจก็ยังแอบเสียดายความงดงามของภาษาไทยที่จะเป็นพื้นฐานของการอ่าน การจับใจความ การพูด การเขียน ต่อไปในอนาคต แต่ด้วยข้อจำกัดของบ้านเรา ในเรื่องเวลาของคนทำหน้าที่ภาษาไทย
เดือนที่ 8 ลองอ่านนิทานไทยดูซิ อ่านไปลูกก็เงียบ จนพอถึงหน้าที่ 2 ลูกก็ถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ แม่ก็เลยตามนั้น หลังจากนั้นคำถามลูกก็หลั่งไหล ประกอบกับการแสดงความคิดเห็นต่อนิทานก็เริ่มออกมา บ้านเราก็เลยจบลงที่อ่านนิทานไทยและ discuss กันเป็นภาษาอังกฤษ 555…อะไรกันเนี่ย แต่คนที่แย่คือแม่นั่นเอง เพราะจนป่านนี้ ผ่านมา 2 เดือนจะ 3แล้ว แม่ก็ยังแยกประสาทไม่ค่อยจะออก ตอนอ่านไทย และสลับกลับมาถามเป็นอังกฤษ รึลูกถามมาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วแม่กำลังคิดกับเนื้อเรื่องไทย โอ๊ย !!!
ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพ่อที่มาแบบพ่อไม่ทันตั้งตัว คือ เนื่องจากเจ้าขาอยู่กับแม่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนไปรร.เพราะฉะนั้นอยู่บ้านจึงถนัดพูดภาษาอังกฤษ พาลเอาติดไปพูดกับพ่อ ซึ่งมีอยู่วันนึง ที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของพ่อ คือ ปกติเจ้าขาพอพูดกับพ่อจะผสมกัน ไทยบ้าง อังกฤษบ้างแล้วแต่อารมณ์ ว่าอยากมากน้อยภาษาไหน แต่ส่วนใหญ่ยืนพื้นที่ไทย แต่วันนั้น เกิดอะไรก็ไม่รู้ พูดกับพ่อตลอด พ่อพยายามดึงเกมเป็นไทย เนื่องจาก ไม่ถนัดและเริ่มรู้ศัพท์รอบตัวน้อยกว่าลูกแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จนมาแอบบ่นกับแม่ (เป็นอะไรเนี่ย อะไรเข้าสิง วันเนี้ยพูดอังกฤษกับพ่อตลอดเลย 555…แม่แอบหัวเราะ แบบสะใจเล็กน้อย) หลังจากนั้นก็กลายเป็นพ่อต้องพัฒนาตัวเองให้พูดกับลูกตามอารมณ์ลูก คือถามไทยตอบไทย ถามอังกฤษตอบอังกฤษ แต่พ่อก็พูดอังกฤษไม่ได้ตลอด บางทีลูกถามอังกฤษพ่อก็จำเป็นต้องตอบไทย
บ้านเราเลยเป็น เจ้าขาพูดกับแม่เป็นอังกฤษ 100% แม่พูดอังกฤษ อ่านนิทานไทย อังกฤษ นับเลขไทย อังกฤษ หัดอ่านไทย อังกฤษ
พูดกับพ่อ ผสมกันไทยกับอังกฤษ แต่ตอนหลังมันก็เริ่มเยอะกว่าไทยไปซะแล้ว เนื่องจากความถี่ของแม่ชนะพ่อนั่นเอง พ่อจึงต้องอาศัยแอบลอกคำพูดของแม่ ก็ถือว่าเราได้พัฒนาตัวเองกันทั้งครอบครัว
แต่เอ….แล้วสรุปว่า บ้านเราเป็นระบบอะไรกันเนี่ย OTOL,OPOL………….รึ OFOP one family one product … แต่เป็น product ที่มีตำหนิอยู่พอสมควร อันเนื่องจากเวลาอันน้อยนิดของแม่ในการพัฒนาตัวเอง ในการไปเป็นแบบของลูกนั่นเอง
เอาคลิปมาฝาก เป็นคลิปเก่าๆ ที่ขุดมา ถ่ายเมื่อเดือนตค.
มีแต่คลิปเก่าๆ เมื่อ 2 เดือนที่แล้วนะคะ เนื่องจากหลังๆไม่มีเวลาและอารมณ์ในการถ่ายเลย ชีวิตการเรียนยุ่งวุ่นวาย และลูกมักไม่ให้ความร่วมมือในการถ่าย หุหุ
คลิปขำขำนะคะ ไม่ได้มีความเก่งกาจอะไร แต่พี่ตุ๊กตาบอกอยากดูคลิปตลก เลยไปขุดเอาคลิปเก่าๆ มาประกอบการเขียนบล็อกขำๆค่ะ ที่ขำน่ะ คือ แม่ที่ยังแยกประสาทไม่ออก บางตอนที่อ่านนิทานก็มีเสียงเพี้ยน และตอนลูกตอบ รึลูกถามก็ยังตั้งสติไม่ค่อยจะได้ งง ว่าตัวเองจะพูดภาษาอะไรต่อไปดี แถมยังมีพูดผิดพูดถูกอีกตังหาก หุหุ
แล้วช่วยเลือกด้วยนะคะว่าบ้านเราใช้ระบบอะไรกัน
คลิปนี้ถ่ายตอนเดือนตุลา ระบบ ผสมผสาน หุหุ 8 เดือนกับ 2 ภาษา เจ้าขา 3.1 ขวบค่ะ