ฤกษ์งามยามดี

Posted by แม่น้องเนย on November 13, 2009 at 8:38am

เริ่มจากที่ได้อ่านหนังสือ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้” และได้เริ่มต้นพูดกับลูกในวันถัดไป
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 ขณะนั้นเนยอายุได้ 2.6 ปี มาถึงวันนี้ก็ประมาณ 5 เดือนนิดๆ
ก็เลยอยากจะเขียนแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างค่ะ

หวังว่าข้อความที่เขียนมาจะเป็นกำลังใจและแนวทางให้กับผู้ที่เริ่มต้นไม่มากก็น้อย
เพราะจากการที่เราเริ่มต้นที่นี่ ท้อ และมีกำลังใจขึ้นมาก็จากที่นี่ ก็เลยอยากแบ่งปัน
ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นให้กับผู้ที่เกิดความรู้สึกท้อ หรือยังสับสน(ในชีวิต)อยู่ค่ะ อิอิ

ขอเตือน อาจปวดตาบ้าง ต้องขออภัย เพราะมันยาวจริงๆนะ (แค่ 5 เดือนยังขนาดนี้)

ประวัติ
1.จบปริญญาตรี ตอนเรียนชอบเรียนภาษาอังกฤษนะ
2.แต่ฟังฝรั่งพูดไม่ค่อยออก
3.พูดกับฝรั่งก็กระท่อนกระแท่น
4.ไม่มีฝรั่งให้พูดด้วยมาก
5.ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษอีกเลยหลังจากจบ.มหาวิทยาลัย
6.ไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ
7.ทำงานอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปพบปะผู้คนมากมาย

เริ่มต้น
1.เห็นหนังสือเล่มสีส้มๆเด่นๆนี้ จากเวปทางอินเตอร์เนทที่ซื้อประจำ สั่งเลย
เคยอ่านหนังสือแนวนี้มาก็เยอะ แต่เล่มอื่นไม่ละเอียด และก็อยู่ไกลเกินที่เราจะหวัง
แต่หนังสือเวทมนต์เล่มนี้ ขอบอกว่าเป็นอะไรที่มีขั้นตอน ดูง่ายๆ อ่านแล้วดูเหมือนว่า
เราก็น่าจะทำได้นะ….ฮึฮึ

2.อ่านเสร็จในวันเดียว และเคี่ยวเข็ญให้สามีอ่านในวันถัดมา ยังดีที่สามีไม่ได้ว่าอะไร
แต่ก็ต้องเป็นเราอยู่แล้วที่จะพูดอังกฤษกับลูก เพราะสามีไม่เอาอยู่แล้ว
(ตอนหลังแอบถาม เค้าบอกว่าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะพูดกับลูกได้ตลอด เดี๋ยวก็เลิก)
ฮึ่ม..ฮึ่มม

3.คืนนั้นเข้าเวป www.2pasa.com เลย สมัครสมาชิก ตอนนั้นเวปเพิ่งเปิดได้ไม่เท่าไรมั๊ง
เข้าไปอ่านก่อนเลย ไล่อ่านทุกกระทู้ เออ..มีคนเริ่มเหมือนเราแฮะ
มีรูปคนสีฟ้าๆ ชื่อคุณอรนัย แกเข้ามาทุกวันเหมือนกันแฮะ เออ..ดี..มีเพื่อน
มีคุณแพท ที่ช่วยตอบคำถามให้ด้วยวุ๊ย น่าสนใจ คือมันมีการเคลื่อนไหว
น่าสนใจมีที่พึ่ง เพราะถ้าอ่านหนังสือ แล้วเริ่มพูดกับลูก
ติดขัด จะปรึกษาใครล่ะเนี่ย

4.เริ่มต้นพูดกับลูกในวันถัดมา เกือบทุกคำ ติดทุกคำ จดทุกคำ หงุดหวิดวุ๊ย

4.1 แม่..ทำไมต้องพูดภาษาอังกฤษด้วย ฟังไม่รู้เรื่องเลย พูดไทยกันดีกว่า

4.2 อ่านนิทานสองภาษา (ที่เคยอ่านแต่ภาษาไทย)
แม่..นี่มันหนังสือภาษาไทยนะ นี่ไงภาษาไทย (เอามือชี้)
ทำไมต้องอ่านภาษาอังกฤษด้วย ไม่เข้าใจเลย เดินหนีไป

4.3 ร้องเพลงภาษาอังกฤษ เออ..ค่อยยังชั่ว..ลูกยังชอบเพลง

4.4 นิทานมีแต่สองภาษา หรือภาษาไทย นี่หว่า ทำไงดี ลูกปฏิเสธหมดเลย??

4.5 ก่อนนอนต้องอ่านนิทาน ลูกไม่ให้อ่านภาษาอังกฤษ ยังคงอ่านภาษาไทยไป
และลูกก็ไม่ยอมให้พ่ออ่านให้ฟังด้วย ต้องแม่เท่านั้นก่อนนอน

4.6 ผ่านไป 2-3 วัน ตัวแม่เองก็เริ่มแย่แล้ว พูดกับลูกได้น้อยลง
อยากจะพูดอะไรหลายๆอย่าง ที่เวลาเราพูดภาษาไทย เราก็จะยาวเลย ก็ทำไม่ได้
อยากจะอธิบายเรื่อง ทำไมลูกโป่งถึงลอยได้ ก็ไม่เป็น (ตอนนี้ก็ยังติดๆอยู่นะ แต่พอไปได้)
อยากจะห้าม เตือนอะไร ก็นึกไม่ทัน
อยากจะ……………………………….
ทำไม มีอะไรที่จะต้องพูดเยอะแยะขนาดนี้
เฮ้ย..ทำไมลูกฟังไม่ออก ปฏิเสธตลอด
เราทำอะไรผิดไป ลูกเราผิดปกติหรือเปล่า

5.ต้องหาผู้ช่วยแล้ว
5.1 ซื้อDVD ตามที่หนังสือแนะนำ โดยทยอยซื้อนะคะ ทุกเรื่องเลย
บางเรื่องซื้อไว้แล้วดูเอง เพราะเด็กดูเรื่องใดแล้วก็จะดูแต่เรื่องนั้นเป็นเดือนเลย

5.2 ซื้อนิทานภาษาอังกฤษ(ล้วน) และนิทานสองภาษาเล่มใหม่
โดยซื้อมาใหม่ต้องให้แม่อ่านภาษาอังกฤษก่อนนะ อย่าให้ใครมาอ่านไทยให้ฟังก่อน

5.3 เปิดดีวีดีให้ดู ลูกชอบ Caillou (แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว) เลียนแบบ
Caillou fall down.!!! ตลอด

5.4 สร้างแรงบันดาลใจ ถ้าอยากจะรู้ว่า Caillou พูดอะไร ก็ต้อง
ฝึกภาษาอังกฤษกับแม่ เพราะ Caillou พูดไทยไม่ได้

5.5 เข้า English Club ทุกวันเท่าที่เวลาอำนวย เพราะตอนนั้นลูกยังไม่ได้เข้ารร.
ต้องเล่นกับเค้าตลอด มีกิจกรรมตลอด

5.6 จดคำถาม แล้วเข้ามาถามตลอด และก็ได้คำตอบทุกครั้ง
ย้ำว่าทุกครั้งจริงๆ เพราะจะมีคนใจดี สวยๆ มาตอบให้

6.ช่วงเดือนแรกมีคำถามมาก เพราะท้อค่ะ

6.1 มันจะได้ผลไหมเนี่ยกับลูกเรา

6.2 เรายังพยายามไม่พอใช่ไหม

6.3 ถ้าเราเป็นแม่ที่เก่งกว่านี้ก็คงดี

6.4 แล้วต้องพูดอังกฤษกับลูกจนถึงเมื่อไรเนี่ย

6.5 แล้วถ้าเราหยุดพูดอังกฤษ หลังจากที่พูดมาเป็นปี แล้วลูกจะลืมหรือเปล่า

6.6 เด็กลืมง่ายอยู่แล้วนี่ ถ้าเราหยุด เค้าก็ลืม แล้วเราจะทำไปทำไมฟะ

6.7 ออกไปข้างนอกพูดภาษาอังกฤษกับลูกก็อายเค้าจัง กระท่อนกระแท่น ผิดๆถูกๆ

  1. ปรึกษากับสามี อืมม..สามีก็ให้กำลังใจบอกว่า คุณบิ๊ก(คุณพงษ์ระพี) เค้าพูดกับลูก
    มาตั้งแต่เกิดแล้ว ผ่านมา 3 ปีกว่าแล้ว เธอเริ่มมาแค่ไม่กี่วัน จะเอาอะไรนักหนา
    ลูกฟังเข้าใจก็ดีถมแล้ว เดี๋ยวให้เค้าปรับตัวหน่อยหน่า พบสัจธรรม
    7.1 แม่อย่าเครียดมาก
    7.2 อย่าตั้งความหวังสูงมากนัก ว่าคนอื่นไปถึงไหนแล้ว
    7.3 ไม่ต้องรีบ ไม่ได้ไปแข่งกับใคร
    7.4 อย่าสร้างความกดดันให้ลูก เน้นภาษาในการเล่น แล้วลูกจะสนุก ร่วมมือ
  2. พัฒนาการ
    เดือนที่ 1เราพูดอังกฤษ ลูกจะแปลเป็นไทยทันที ถามว่าใช่ป่ะ เราก็ตอบกลับเป็นอังกฤษไม่มีการแปล
    เดือนที่ 2 ถามเอง ตอบเอง เพราะถ้าไม่ตอบเอง ลูกจะพูดคำถามตามเรา เช่น Are you hungry? Yes.I am.
    แล้วเอาอาหารมาเซิร์ฟ (ถ้าไม่พูด Yes,I am ลูกจะพูดตามว่า Are you hungry?)
    เดือนที่ 3 ต้องพูดถึงจะได้ เช่น แม่หนูหิวน้ำ You should say may I have some water please. เอาน้ำยื่นให้
    เดือนที่ 4 แกล้งโง่ ฟังลูกไม่ออก (เกือบจะโง่จริงแล้ว อิอิ) ให้ลูกได้เริ่มบทสนทนาก่อน
    เดือนที่ 5 เถียงและโต้ตอบได้บ้าง แต่ไม่ตลอด
    แม่ : Do you want to take a bath first or have breakfast first?
    ลูก : Play first!!! ฮึ่มๆๆ

อีกเหตุการณ์นึง
แม่ : It’s the time to take a bath.
ลูก : Wait a minute please. Let me play a bit longer.

9.แล้วก็ได้คำตอบสำหรับคำถามในข้อ6
9.1 มันจะได้ผลไหมเนี่ยกับลูกเรา ตอบว่า ก็ได้ผลนะว่ามะ

9.2 เรายังพยายามไม่พอใช่ไหม ตอบว่า ใช่ๆ ต้องพยายามต่อไปอีก ทางแสนยาวไกล

9.3 ถ้าเราเป็นแม่ที่เก่งกว่านี้ก็คงดี ตอบว่า เปลี่ยนแม่ไม่ได้แล้วลูกเอ๋ย..ยังไงก็ต้องยัยแม่มดคนนี้แหละ

9.4 แล้วต้องพูดอังกฤษกับลูกจนถึงเมื่อไรเนี่ย ตอบว่า พูดไปเรื่อยๆก็ได้ ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับลูกด้วย ยังมีอะไรอีกเยอะให้เรียนรู้

9.5 แล้วถ้าเราหยุดพูดอังกฤษ หลังจากที่พูดมาเป็นปี แล้วลูกจะลืมหรือเปล่า
ตอบว่า ถ้าหยุดจริง ก็คิดว่าลูกจะต้องซ่อนความสามารถทางภาษาที่เราได้ปลูกฝังไว้ ไม่มากก็น้อยค่ะ

9.6 เด็กลืมง่ายอยู่แล้วนี่ ถ้าเราหยุด เค้าก็ลืม แล้วเราจะทำไปทำไมฟะ
ตอบว่า ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อลูกจริงๆไหมคะ

9.7 ออกไปข้างนอกพูดภาษาอังกฤษกับลูกก็อายเค้าจัง กระท่อนกระแท่น ผิดๆถูกๆ
ตอบว่า เดี๋ยวนี้ดีขึ้นค่ะ มั่นใจมากขึ้น เพราะว่าส่วนมากเป็นประโยคซ้ำๆ ไม่เห็นต้องอายใคร

ถึงขณะนี้ลูกจะยังไม่เก่งมาก แต่เราก็ภูมิใจอ่ะนะ (คนเป็นแม่) ว่าเค้าสามารถโต้ตอบกับเราได้
และเค้าก็พยายามคิดคำศัพท์ออกมาโต้ตอบมากขึ้น บางครั้งเราก็รอลุ้นให้เค้าพูดออกมาจนเหนื่อยเลยนะ
รู้ว่าเค้าคิดประมวลออกมาเป็นคำพูดอยู่

ส่วนตัวเราเองก็ต้องพัฒนาอีกเยอะค่ะ

  1. มีคำถามมาถามทุกวัน จนบางวันคุณอ๊อบ มารอตอบให้ รู้หน้าที่ดีจริงๆ
    2.เข้าเวปทุกวัน เช็คการออกเสียงก่อนพูดกับลูก
    3.อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพิ่มพูนความรู้ที่มีอันน้อยนิด
    4.พยายามดูดีวีดีการ์ตูน และหนังเด็กๆ ที่พอมีประโยคให้ใช้ได้ (นอกจากดีวีดีเทพ)

ได้ความคิดใหม่ว่า เราต้องมองบวกเข้าไว้
อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ ต้องคิดว่าเราต้องทำได้ซิน่า
ถ้าเราคิดดีแล้ว เราจะฝ่าฟันอุปสรรคการเริ่มต้นไปได้
แหม..เขียนซะ..ตัวเอง ประสบความสำเร็จแล้วงั้นแหละ…
ไม่ใช่หรอกค่ะ… ก็เพิ่งเริ่มต้นเหมือนกัน
แต่อยากมาแชร์ให้ ผู้ที่กำลังเริ่มต้นรู้ว่า
มันมีแบบแผนแบบนี้นะ กี่เดือนเป็นแบบนี้
มีคนทำก่อนแล้ว แล้วได้ผล อย่ารอเลย ทำเลย

สุดท้ายนี้ขอบอกว่าใช้เวลาเขียนบล๊อกนี้นานมาก ประมาณ2 ชม.
เขียนไปลบไป กลัวคนอ่านเบื่อ และปวดตา
หวังว่าข้อความนี้จะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคน
ได้ทำตามความฝันที่วางไว้ ให้เป็นจริงค่ะ
เริ่มกันได้เลย “พ่อแม่สองภาษา สร้างลูกได้”
เอ้ย…ไม่ใช่ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้”