สอนเด็กสองภาษาไปสักพัก ลูกมีการตอบรับที่ดีและพูดอังกฤษออกมา แต่เมื่อไปอยู่โรงเรียนไทย ไม่นานนัก แกก็พูดไทยตลอด และไม่ยอมพูดอังกฤษอีกเลย กรณีนี้จะต้องทำอย่างไร?

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่แนวคิดในการสอนของโรงเรียนนั้นเป็นขั้วลบกับแนวคิดเด็กสองภาษา หลายคนสอนลูกเป็นเด็กสองภาษามาเป็นอย่างดี แต่เมื่อเข้าโรงเรียนไปสักสามสี่เดือน สิ่งที่สอนมาค่อยๆถูกการสอนแบบ “เอ แอนท์ มด” กัดกร่อนไปเรื่อยๆ เด็กเริ่มพูดอังกฤษแล้วต่อด้วยคำแปล สำเนียงเริ่มเปลี่ยนเป็นไทยจ๋า และเริ่มคิดมากขึ้นก่อนพูดออกมา หรือบางคนไม่พูดอังกฤษอีกเลย คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ให้รักษาความถี่ของเราต่อสู้ยันเอาไว้ สร้างศรัทธาของพ่อแม่ให้มากกว่าครู โดยเฉพาะเรื่องการออกเสียง ถ้าพ่อแม่ใช้ดิกชันนารีอังกฤษ-อังกฤษเป็นจะช่วยพ่อแม่ได้มาก เพราะเป็นตัวอ้างอิงการออกเสียงที่ถูกต้องได้ เด็กๆเมื่อเข้าโรงเรียนมักจะเชื่อครูมากกว่าพ่อแม่ และถ้าเด็กโตสักสี่ห้าขวบขึ้นไป พูดคุยเหตุผลพอฟังกัน ผมอยากให้คุยกับเด็กว่า เรากำลังฝึกภาษาอังกฤษกันอยู่นะ เป็นผลดีต่อลูกในอนาคต บางครั้งพ่อแม่อาจจะต้องมีรางวัลเป็นเป้าหมายให้เด็กเสียหน่อย บางอย่างที่โรงเรียนสอน ไม่ตรงกับที่บ้านสอน ก็ให้ยึดเอาที่ตรงกับแนวคิดเด็กเป็นหลัก เช่นเวลาพูดไม่ต้องแปลต่อท้ายเป็นต้น นี่คือการแก้ไขที่เป็นแกนกลาง สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยของเด็กแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ให้พ่อแม่ปรับวิธีการให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนไปครับ

สอนเด็กสองภาษามาสักพัก รู้สึกเหนื่อยและท้อ ทำอย่างไรดีคะ?

ผมเชื่อว่าความเหนื่อยและท้อต้องมาจาก การตอบรับของลูกยังไม่ดี หรือยังไม่พูดออกมาเลย ถ้าเด็กพูดภาษาอังกฤษออกมาได้ ความเหนื่อยและท้อคงหายเป็นปลิดทิ้ง คำแนะนำมีอย่างนี้ครับ…ลองตรวจสอบดูก่อนว่าการสอนของคุณนั้น ถูกต้องตามหลักของแนวคิดหรือเปล่า? ถ้าการตอบรับไม่ดี เนื่องจากสอนผิดพลาด ก็น่าเสียดาย ขั้นตอนถัดมาถ้าเหนื่อยเพราะคุณใจร้อน เร่งเกินไป ผมแนะนำให้ลดความเข้มข้นลงมาให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของครอบครัว เหมาะสมกับความพร้อมของเรา เช่นปรับไปใช้ระบบการสอนแบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษา จากเดิมพูดอังกฤษ 50% ก็ให้ลดลงมาอาจจะเหลือ 30% หรือน้อยกว่านั้น ให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ลองดูว่าทำแค่นี้พอดีกับตัวเองไหม ถ้ารู้สึกว่ากำลังพอดี ก็ให้เลือกความเข้มข้นขนาดนี้ในการสอนครับ ที่สำคัญที่สุด อย่าลืมแวะไปเติมกำลังใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และเติมเต็มความรู้ใหม่ๆจากเพื่อนสมาชิกที่สอนลูกเป็นเด็กสองภาษาเหมือนกันที่หมู่บ้านเด็กสองภาษาครับ

รู้ได้อย่างไรว่าเด็กที่เราสอนกำลังจะเป็นเด็กสองภาษาแล้ว?

ผมนิยามเด็กสองภาษาตามแนวคิดเด็กสองภาษาเอาไว้ว่า…เด็กสองภาษาต้องพูดสองภาษาด้วยความรู้สึกทั้งสองโหมด ไม่ต้องคิดมาก คิดกับพูดพุ่งออกมาพร้อมกัน ถ้าคุณสอนลูกไปสักพักแล้วเด็กโต้ตอบกลับในโหมดที่ถูกต้อง สังเกตเมื่อเด็กคิดก็จะพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็มาจากกระบวนการเลียนแบบและขัดเกลาการเลียนแบบที่มากเพียงพอจนเกิดความรู้สึก ถ้าคุณเห็นสัญญาณอย่างนี้เกิดขึ้น นั่นก็แสดงว่าลูกคุณกำลังเดินทางเป็นเด็กสองภาษาอยู่ครับ ส่วนจะพูดได้มากน้อยแค่ไหนนั่นก็อยู่การพัฒนาต่อไปเรื่อยๆครับ

อุปสรรคที่เจอในการสอนเด็กสองภาษามากที่สุดคืออะไร?

สี่ห้าปีที่ได้เห็นพ่อแม่ฝึกเด็กสองภาษามา สิ่งที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคมากที่สุดก็คือ “พ่อแม่ไม่ทำความเข้าใจแนวคิดเด็กสองภาษาอย่างลึกซึ้งเพียงพอ” ทำให้สอนไม่แม่นยำ บางคนไม่สนใจเลยและสอนไปตามความเข้าใจของตนเอง ทำให้สอนผิดทิศผิดทางไปเยอะ กว่าจะรู้ตัวว่าสอนผิดและกลับมาแก้ไข ต้องใช้เวลาในการแก้ไขมากกว่าการสอนอย่างถูกต้องมากมายนัก อุปสรรคที่สองคือ “ความใจร้อน” พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นเร็วๆ การสอนเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ อยากได้หนังสือประโยคสนทนาทุกสถานการณ์ ไว้พูดกับลูก แทนที่จะเน้นการเตรียมตัวแต่ละสถานการณ์ให้ดีแล้วก็สอนตามนั้น เมื่อใจร้อนมากไป และผลที่ได้ไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ จะทำให้เกิดความท้อถอย หงุดหงิดและเลิกไปในที่สุดครับ

อยากได้หนังสือคู่มือพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน หาได้ที่ไหน?

หนังสือภาษาอังกฤษที่มีเห็นในท้องตลาด โดยส่วนใหญ่แล้วไม่สอดคล้องกับแนวคิดเด็กสองภาษา เน้นการแปล ใช้ภาษาไทยในการกำกับการออกเสียง เน้นประโยคสนทนาเยอะๆ ไม่เน้นคุณภาพ การฝึกตามแนวคิดเด็กสองภาษานั้นเน้น “น้อยแต่มีคุณภาพ”…เน้นพื้นฐานการออกเสียง เน้นการสร้างการพูดจากความรู้สึกมากกว่าการพูดได้เยอะๆ ดังนั้นหนังสือควรจะสอดคล้องกับแนวคิดนี้ครับ นอกจากหนังสือเด็กสองภาษาเล่มนี้แล้วผมยังทำหนังสือเด็กสองภาษาอีกเล่ม ที่เน้นพื้นฐานการฝึกทีละขั้น ทำตามทีละแบบฝึกหัด จากคำไปสู่วลี จากวลีไปเป็นประโยคครับ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “เด็กสองภาษา ฉบับแบบชุดฝึก”

อยากได้หนังสือเด็กสองภาษาครบชุด หาซื้อได้ที่ไหนบ้างครับ?

หนังสือเด็กสองภาษามีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ ไม่ว่าจะเป็นซีเอ็ด นายอินทร์ หรือ B2S แต่ถ้าต้องการซื้อเป็นชุดและได้ของแถมพิเศษเพิ่มเติม สามารถสั่งซื้อได้โดยตรงที่เว็บ 2pasa.com ครับ

เวิร์กช็อปเด็กสองภาษาคืออะไร จำเป็นต้องเข้าไหม?

เวิร์กช็อปเด็กสองภาษาก็คือการเข้าฟังบรรยายขั้นตอนการสร้างเด็กสองภาษาตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนกลายเป็นเด็กสองภาษา พร้อมกับยกตัวอย่างขั้นตอนการสอน และพิสูจน์ให้เห็นว่าแต่ละแนวคิดมันขับเคลื่อนไปได้อย่างไรในการสอนลูก เวิร์กช็อปนี้เป็นการฝึกพ่อแม่ ไม่ใช่เอาลูกมาฝึก ดังนั้นการเดินทางมาอบรมควรจะเป็นพ่อแม่ ตอนนี้ผมเปิดอบรม 2 เวิร์กช็อป คือหนึ่ง “เวิร์กช็อปเด็กสองภาษา” และสอง “เวิร์กช็อปโฟนิกส์และการออกเสียง” สำหรับเวิร์กช็อปที่สองนั้นจะเน้นการอบรมพื้นฐานการออกเสียงของภาษาอังกฤษว่าต้องเริ่มต้นอย่างไรดี ระบบการออกเสียงเป็นอย่างไร รวมถึงความเข้าใจผิดต่างๆนานาของคนไทยที่มีต่อภาษาอังกฤษ สำหรับคำถามที่ว่าจำเป็นต้องเข้าเวิร์กช็อปไหม? คนที่มาเข้าเวิร์กช็อปจำนวนมากแต่ละรุ่นส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือมาแล้วทั้งนั้น และมักจะบอกว่า ในเวิร์กช็อปจะให้ความรู้สึกและความเข้าใจที่แตกต่างจากการอ่านหนังสืออยู่พอสมควร บางคนบอกว่าสะดวกและประหยัดเวลา เพราะไม่มีเวลาอ่านก็สามารถทำความเข้าใจแนวคิดเด็กสองภาษาจบได้ในหนึ่งวัน ผมอยากให้ดูคลิปวิดีโอความรู้สึกของคนที่เข้าเวิร์กช็อปแล้วค่อยตัดสินใจครับ

อยากได้ประสบการณ์ของการสอนเด็กสองภาษาของพ่อแม่คนอื่นด้วย

ในหนังสือเด็กสองภาษาทุกเล่มจะมีบทสัมภาษณ์พ่อแม่ที่ฝึกลูกเป็นเด็กสองภาษาอยู่ทุกเล่มให้เริ่มต้นอ่านจากตรงนี้ก่อนครับ จากนั้นผมอยากให้สมัครเป็นสมาชิกเว็บสองภาษาดอทคอม ซึ่งมีขั้นตอนง่ายๆและไม่เสียค่าใช้จ่าย จากนั้นก็เข้าไปอ่านบล็อก กระทู้ของพ่อแม่คนอื่น ในเว็บสองภาษาดอทคอมนั้นมีครอบครัวที่สนใจแนวคิดเด็กสองภาษากว่าสองหมื่นสามพันครอบครัวแล้ว ให้เลือกดูเด็กสองภาษาของแต่ละคนนะครับ

ถ้าเลือกระบบการสอนแบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษาแล้ว ควรเลือกเวลาแบบไหนดี?

ให้เลือกเวลาแบบตามสะดวกจะยืดหยุ่นในการใช้มากที่สุดครับ ไม่จำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขเวลาที่ตายตัวมากไป เช่นคุยภาษาอังกฤษจันทร์ถึงศุกร์ เสาร์อาทิตย์พูดไทย หรือพูดอังกฤษตอนเช้ากับก่อนนอน ให้เลือกตามสะดวกเลยครับ สะดวกเวลาไหนก็พูด แต่ต้องตกลงกับเด็กให้สลับโหมดการพูดให้ตรงกันด้วยครับ

ใครควรเป็นคนสอนภาษาที่สองดี พ่อหรือแม่?

โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงพูดเก่งกว่าผู้ชาย คนเป็นแม่มีเรื่องราวที่ต้องคุยมากกว่าคนเป็นพ่ออยู่เยอะ ถ้าคนสอนลูกเป็นหลักเป็นแม่ ก็จะช่วยเพิ่มความถี่ในการใช้ภาษาได้มากและมีรายละเอียดในการพูดคุยหลากหลายเรื่องราวมากกว่า ผมสนับสนุนให้แม่เป็นคนสอนเป็นหลักครับ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเลือกระบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษาในการฝึก ก็ให้ช่วยกันพูดทั้งสองคน เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความถี่ให้มากขึ้นครับ

1 2 3 7