น้องฟ้าใส ระยอง

ใฝ่ฝันมาตั้งแต่ยังไม่มีลูกค่ะว่าถ้ามีลูกเป็นของตัวเองจะสอนภาษาอังกฤษให้เขาตั้งแต่เกิด แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับทำไม่ได้ จนมารู้จักหนังสือ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้” และได้ไปเวิร์คช็อปของคุณบิ๊ก จึงได้พบทางสว่าง ต้องขอบคุณเจ้าของแนวคิดนี้จริงๆ ค่ะ ตอนนี้รู้สึกเหมือนมีลูกเป็นฝรั่ง ภูมิใจมากๆ ที่เราสร้างมาด้วยมือของเราเองจนสำเร็จ อยากให้ประเทศไทยมีเด็กๆที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องท่องศัพท์เพื่อนำไปสอบอย่างเดียวอีกต่อไปค่ะ

ความในใจแม่อ้อ

แม่อ้อแม่น้องฟ้าใสมีความตั้งใจที่จะสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาตั้งแต่น้องยังเล็กๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้หลักการในการสอน จนมารู้จักหนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ และมาเข้าเวิร์กช็อปเด็กสองภาษา จนได้เรียนรู้วิธีทำที่ถูกต้อง จุดที่ไม่ควรทำก็แก้ไข โดยเริ่มอีกครั้งตอนน้องอายุสามขวบกว่า จนปัจจุบันน้องฟ้าใสเป็นเด็กสองภาษาที่น่ารักสดใสคนหนึ่งครับ ยินดีด้วยครับ



ครอบครัว: ทีบิดา (น้องฟ้าใส)
ชื่อพ่อ: คมกฤษ ทีบิดา
ชื่อแม่: วีณา ทีบิดา (คนให้สัมภาษณ์)
ชื่อลูก: ด.ญ. กนกพิชญ์ ทีบิดา (น้องฟ้าใส) อายุ 6 ปี 3 เดือน (ในขณะนั้น)
อาศัยอยู่จังหวัดใด: ระยอง

รู้จักแนวคิดเด็กสองภาษาได้อย่างไร แล้วทำไมถึงสนใจแนวคิดนี้?
พี่ที่ทำงานแนะนำให้อ่านหนังสือ “เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้” ของคุณบิ๊กค่ะ เราคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูก เป็นความรู้พื้นฐานที่ต้องมีติดตัว จริงๆแล้วครอบครัวเราอยากสอนภาษาอังกฤษให้ลูกตั้งแต่แบเบาะ แต่ไม่รู้วิธี จึงปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี จนลูกอายุ 3 ขวบ ถึงเวลาเข้าอนุบาล จึงเลือกห้องเรียนแบบสองภาษาให้ลูก เพราะเชื่อว่าโรงเรียนจะช่วยเราได้

ระบบที่เลือกใช้ฝึก (หนึ่งคนหนึ่งภาษา หรือหนึ่งเวลาหนึ่งภาษา) แล้วทำไมถึงเลือกใช้ระบบนี้?
ในระยะแรกใช้ระบบหนึ่งเวลาหนึ่งภาษาก่อนค่ะ เนื่องจากพ่อแม่เองก็เพิ่งเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน คลังคำศัพท์ยังมีไม่มาก จึงค่อยๆ ท่องศัพท์และประโยคที่จำเป็น แล้วนำมาใช้กับลูกแค่วันละ 15 ถึง 30 นาที จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ตามความสามารถของพ่อแม่และความพร้อมของลูก จนเวลาผ่านไป 1 ปี แม่มีความพร้อมมากขึ้น จึงขอตกลงกับลูกว่าขอให้พูดภาษาอังกฤษกับแม่ในเวลากลางวัน และพูดไทยในเวลากลางคืน โดยสามารถพูดไทยกับพ่อได้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ลูกพูดไทย แม่จะแปลเป็นประโยคภาษาอังกฤษให้ลูกพูดตาม ซึ่งลูกก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

เราค่อยๆ เพิ่มปริมาณภาษาอังกฤษให้ลูกมากขึ้นเรื่อยๆ จนลูกคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากๆ และขอไม่พูดภาษาไทยกับแม่ในที่สุดเมื่อผ่านไป 1 ปี 8 เดือน ตอนนี้เราใช้ระบบหนึ่งคนหนึ่งภาษาแล้วค่ะ โดยแม่พูดภาษาอังกฤษล้วนๆ และพ่อพูดไทย

เริ่มต้นอย่างไรแล้วเจออุปสรรคอะไรบ้าง แก้ปัญหาอย่างไร?
เราเริ่มเรียนรู้ภาษาที่สองไปพร้อมๆ กันทั้งครอบครัวค่ะ เราจัดสิ่งแวดล้อมใหม่ให้ลูก เปิดเพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กให้ลูกฟังในรถ ดูการ์ตูนเป็นภาษาอังกฤษ หาหนังสือคำศัพท์ง่ายๆ มาอ่านด้วยกัน
ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับครอบครัวเราไม่ใช่เรื่องที่เราสอนลูกตอนโต หรือลูกต่อต้าน แต่เป็นความสามารถด้านภาษาอังกฤษของพ่อแม่ที่มีไม่มากนัก ทั้งรู้คำศัพท์น้อย ทั้งออกเสียงท้ายไม่เป็น ต้องทำการบ้านเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะแม่ที่เป็นกำลังหลักในการสอนภาษาที่สองให้ลูก ต้องเริ่มเรียนใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่หัดออกเสียง A ถึง Z แบบสำเนียงฝรั่ง นับตัวเลข ออกเสียงท้ายให้ชัดทุกคำ โดยฝึกจาก www.starfall.com , www.thefreedictionary.com

หาคลิปสอนภาษาอังกฤษดีๆ จาก Youtube ในแต่ละวันแม่ต้องท่องคำศัพท์มากมาย หาศัพท์และประโยคที่จำเป็นจาก www.2pasa.com ซึ่งได้รับความกรุณาจากรุ่นพี่ในเว็บเป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็รู้สึกท้อค่ะ เมื่อฝึกไปได้สักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าเหมือนย่ำอยู่กับที่ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับลูกดี และพูดมากแค่ไหน พูดเวลาไหน ทำให้หยุดชะงักไปหลายเดือน จนได้ไปเยี่ยมครอบครัวสองภาษาที่เชียงใหม่ซึ่งพยายามพูดภาษาอังกฤษกับลูกตลอดเวลา หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกกันใหม่อีกครั้ง เพิ่มปริมาณมากขึ้น แบ่งเวลาชัดเจน จึงได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วลูกของเรามีความพร้อม และแม่เองก็มีคลังศัพท์มากพอที่จะพูดกับลูกได้เกือบทั้งวัน

ระยะเวลาสอนจนเด็กเริ่มพูดโต้ตอบกลับเป็นภาษาที่สองอย่างเป็นธรรมชาติ?
ฟ้าใสสามารถโต้ตอบเป็นประโยคสั้นๆได้เมื่อผ่านไป 3 เดือนค่ะ และสร้างประโยคที่สมบูรณ์เมื่อผ่านไป 7 เดือน

ระดับภาษาอังกฤษของพ่อแม่ตอนเริ่มสอนเป็นอย่างไร มีความมั่นใจแค่ไหนในการสอนลูก?
เราสามารถสื่อสารได้ในระดับพอใช้ค่ะ แม่เข้าใจหลักไวยากรณ์ เขียนประโยคที่สมบูรณ์ได้ เพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน แต่ไม่มีความถนัดเรื่องการพูดและฟังเลย ในระยะแรกที่สอนลูก รู้สึกติดขัดไปหมดเลยค่ะ เพราะศัพท์ที่ใช้ในที่ทำงานแทบจะใช้กับลูกไม่ได้เลย ต้องค้นคำศัพท์ใหม่ทั้งหมด แต่มั่นใจว่าเราทำได้ไม่วันใดก็วันหนึ่งถ้าไม่เลิกล้มความตั้งใจเสียก่อน

เสี้ยวเวลาที่ลูกโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษได้รู้สึกอย่างไร?
ประหลาดใจและดีใจมากค่ะ รู้สึกว่านี่คือผลงานชิ้นเอกที่เราสร้างมาด้วยมือของเราเอง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะวิเศษขนาดนี้

คำแนะนำและความคิดเห็นอื่นๆให้กับพ่อแม่ท่านอื่น
ทุกคนมีความสามารถค่ะ อย่าดูถูกตัวเอง อย่าคิดว่าทำไม่ได้ อย่าคิดว่าเราไม่เก่ง หรืออย่าคิดว่าลูกเราโตเกินไปที่จะสอน ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครแก่เกินเรียนค่ะ ถ้าใจเราสู้เสียอย่าง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมมีผลสำเร็จ ล้มได้ก็ลุกได้ ครอบครัวเราก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ต้น และยังมาเริ่มสอนลูกตอนโตอีกด้วย กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ ค่ะ มองไปข้างหน้านะคะ ท้อได้แต่อย่าถอย ถ้าอยากให้ลูกสามารถสื่อสารภาษาที่สองได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะภาษาใด พ่อแม่คือคนที่สำคัญที่สุดที่จะให้ต้นทุนชีวิตนี้แก่ลูกค่ะ


ศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2554 ความคิดถึงเดินทางจากทะเล

Posted by แม่เพ่ยขอแจม on July 30, 2011 at 10:47am in ห้องรับแขก วันนี้มีโอกาสพบเจอกับครอบครัวแม่…