ครอบครัว: หุ่นแสวง
เด็ก: น้องเบนนี่
คนที่สอน : พ่อ และ แม่
อาศัยอยู่จังหวัด: นครสวรรค์
—-
ก่อนหน้านี้สอนภาษาอังกฤษแบบใด
ไม่มีแบบแผนอะไรเลยในการสอน ได้แต่พูดกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ และหวังว่าวันหนึ่งลูกก็น่าจะพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้
เริ่มฝึกตามแนวคิดเด็กสองภาษา ตอนเด็กอายุเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาสอนตามแนวคิดเด็กสองภาษา
เริ่มฝึกแบบแนวคิดเด็กสองภาษาหลังจากดูทีวีรายการชีพจรโลกที่คุณบิ๊กออกอากาศ และได้อ่านหนังสือเด็กสองภาษาเล่ม หนึ่งด้วย จากนั้นก็เปลี่ยนมาสอนแบบแนวคิดเด็กสองภาษาเพราะว่า อ่านหนังสือแล้วคิดว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและน่าเจริญรอยตาม ตอนแรกก่อนที่จะอ่านหนังสือ ก็คิดว่าการสอนของตัวเองที่ทำอยู่ ก็ดีอยู่แล้ว แต่พออ่านหนังสือจน ก็เกิดคิดขึ้นทันทีว่าหลายอย่างที่เราทำยังบกพร่องอยู่ อย่างแรกที่เห็นชัดเจนเลยของตัวผมก็คือ ผมจะไม่ค่อยทำท่าทางประกอบ จะใช้แต่เสียง แต่พอได้ความรู้จากการฟังหนังสือ และได้ไปอบรมเวิร์กช็อปเด็กสองภาษารุ่น 9 ด้วยก็หันมาใช้ท่าทางและของจริงประกอบเข้ากับเสียงที่เราพูดด้วย ทำให้ลูกเข้าใจได้ดีขึ้นและเร็วกว่าเดิม
ระบบที่เลือกใช้ แล้วทำไมถึงเลือกใช้ระบบนี้
ผมใช้ระบบ 1 คน 1 ภาษา ตัวผมเองใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนเปิ้ลใช้ภาษาไทย แต่หลายๆครั้งเปิ้ลก็ใช้ภาษาอังกฤษด้วยเหมือนกัน และลูกก็จะใช้ทั้งไทยและอังกฤษกับเปิ้ล ส่วนกับผมก็จะเป็นภาษาอังกฤษ พอคุณตาคุณยายเดินมา หลานก็จะแปลเป็นไทยให้ฟัง ฮ่าๆ ขำดี มันเวิร์กดีนระบบสองภาษาเนี่ย
เริ่มต้นอย่างไรแล้วเจออุปสรรคอะไรบ้าง แก้ปัญหาอย่างไร
ตอนที่วางแผนมีลูกเราตั้งใจไว้แล้วว่า เราจะพูดภาษอังกฤษกับลูก เมื่อลูกคลอดเราก็เริ่มเลย เริ่มจริงจังตอนประมาณลูก 3 เดือน อุปสรรคที่เจอจะเป็นอุปสรรคของตัวเองมากกว่า คือความรู้ภาษาอังกฤษของเราที่ตัวเราเองคิดว่าไม่เลว แต่จริงๆแล้วยังต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก โดยเฉพาะสิ่งใกล้ตัวที่เกี่ยวกับเด็ก และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็กตามระยะวัยเรียนรู้ของเขา จุดนี้แหล่ะทำให้เราต้องศึกษาและค้นคว้ามากขึ้น และจากการศึกษาเพิ่มเติมนี่แหล่ะ ทำให้ผมเห็นว่าตัวผมเองก็ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ส่วนปัญหาต่อต้านจากลูก จะไม่เจอเลย อาจเนื่องมาจากเราเริ่มพูดกับเขาตั้งแต่แรกเกิด (ฮ่าๆ ต่อต้านไม่ได้ เพราะยังพูดไม่ได้) ส่วนการแก้ปัญหาของตัวเอง ก็คือต้องเรียนรู้เพิ่มเติมให้ลูกตามไม่ทัน
ระยะเวลาสอนจนเด็กเริ่มพูดโต้ตอบกลับเป็นภาษาที่สองอย่างเป็นธรรมชาติ
ประมาณ 22 เดือน
ระดับภาษาอังกฤษของพ่อแม่ตอนเริ่มสอนเป็นอย่างไร มีความมั่นใจแค่ไหนในการสอนลูก
ตอบยากมากครับคำถามนี้ เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้น เคยคิดว่าไม่เลว จริงๆแล้วยังต้องพัฒนาอีกเยอะเลยครับ ส่วนความมั่นใจเต็มร้อยคิดว่าทำได้แน่นอน ยิ่งห็นแม่แบบหลายๆครอบครัว ความมั่นใจยิ่งสูงขึ้นมากครับ
เสี้ยวเวลาที่ลูกโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาที่สองได้รู้สึกอย่างไร
ผมกับเปิ้ลดีใจมากเลยครับ ปกติจะแอบชื่นชมลูกๆคนอื่น พอถึงระยะเวลาของเรา เราก็รู้สึก อือ ลูกเราสามารถทำได้แล้ว ดีใจๆ
พัฒนาการในแต่ละช่วง
3-18 เดือน เป็นช่วงที่เราป้อนข้อมูล เก็บสะสมคำศัพท์จากที่เขาได้ยิน มีการโต้ตอบบ้างโดยใช้ภาษามือ หรือส่งเสียงที่ไม่ใช่ภาษาที่ฟังออก และมีการบอกความต้องการของเขาโดยการชี้หรือพาไปดูสิ่งนั้นๆ สามารถตอบคำถาม yes no โดยใช้ศรีษะตอบ สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆได้
19-25 เดือน เริ่มมีการออกเสียงเป็นคำ 1-2 พยางค์ได้ ตามมาด้วยวลีสั้นๆ สามารถขอสิ่งของได้ โดยใช้ประโยคที่ไม่มีประธาน ตัวอย่าง Want paper, Have shower, Go kitchen, See fish ใช้คำว่า Please ได้ในบางครั้ง แต่ก็ต้องย้ำบ้าง เริ่มที่จะสร้างประโยคเอง ละเมอเป็นวลีภาษาอังกฤษ (พ่อตกใจนิดหน่อย ฮ่าๆ)
26-ปัจจุบัน (31 เดือน) โต้ตอบได้เยอะขึ้น มีเถียง มีถาม What และ Why สร้าง ประโยคได้ดีขึ้น ใช้คำศัพท์ที่เคยรู้มากขึ้น เรียนแบบเร็วขึ้น สอนง่ายขึ้น พูดสลับโหมดเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทั้งผมและเปิ้ลพอใจกับผลิตผลอย่างมาก แต่ที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่ก็คือเรื่องความชัดเจนของเสียง ทั้งไทยและอังกฤษ จะพยายามพัฒนาต่อไปครับ
คิดอย่างไรกับการสอน A Ant มด ในโรงเรียน แล้วอยากฝากอะไรถึงโรงเรียนบ้าง
การสอน A Ant มด เป็นการสอนที่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นการสอนภาษาอังกฤษแบบให้นักเรียนทำข้อสอบให้ผ่าน มากกว่านำมาใช้ในการสื่อสารจริง ตัวผมเองได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ และในปีแรกเพื่อนๆในชั้น ถามผมว่าผมเรียนอังกฤษมากี่ปีแล้ว ผมก็นับนิ้วดู ปรากฎว่า รวมได้ 8 ปี ก็ตอบไปว่า 8ปี เพื่อนที่ได้ยินก็หัวเราะกันใหญ่แล้วร้องกันเกือบพร้อมกันว่า 8 ปี แต่พูดได้แค่นี้เหรอ (ทำนองนั้น) ก็เป็นเรื่องที่น่าอาย ตัวผมเองก็จำได้ว่าหน้าแหยๆไปเหมือนกัน เราอุตส่าห์ซื่อสัตย์ดันทับถมเราอีก แต่นั่นก็ผลผลิตของการเรียนแบบ A Ant มด จะเป็นแบบนั้น อย่างนั้นเลย ไม่สามารถสื่อสาร ใช้งานจริงได้
จึงอยากฝากให้โรงเรียนหรือรัฐบาลมองหาวิธีใหม่ในการสอน อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการจ้างอาจารย์ฝรั่งก็ได้ มองหาวิธีที่มันธรรมชาติเช่นเด็ก 2 ภาษาแบบที่พวกเราทำกัน และก็ควรเริ่มวางพื้นฐานจากเด็กอนุบาลไปเลย และก็ควรใช้บุคคลากรที่มีคุณภาพ และจ่ายเงินเดือนบุคคลกรเหล่านั้นค่อนข้างสูง เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าอาชีพครูจะเป็นอาชีพสำหรับคนที่ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะทำไร เออ ลองเป็นครูดีกว่า และคนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีใจรักในการสอน ศักยภาพและความรู้ก็ใช่จะดี คนไทยทุกคนเคยได้ยิน ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ แต่ถ้าแม่พิมพ์ไม่ได้เรื่อง และลูกที่พิมพ์ออกมาจะดีไหมเอ่ย
ตัวผมเองคิดว่า เมืองไทยควรให้ความสำคัญกับแม่พิมพ์ของชาติให้มากขึ้น ทั้งในแง่รายได้ และการคัดเลือกบุคคลากรที่จะมาสอน มีความรู้ดีอย่างไร วิธีวัดคุณภาพที่มีอยู่ถูกต้องแล้วไหม ไม่สอนเต็มที่ในห้องเรียน แต่พอสอนพิเศษนอกเวลาได้เงินเพิ่ม อัดเนื้อหาให้มากขึ้น และก็จรรยาบรรในการประกอบอาชีพกันมากเท่าไร เยอะครับ เดี๋ยวจะยาวไปกว่านี้
คิดอย่างไรกับแนวคิดเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
เป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์ และช่วยให้พ่อแม่มีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนาภาษาของลูก แทนที่จะคอยโรงเรียนซึ่งส่วนใหญ่จะสอนภาษาเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้องเสียเท่าไร เป็นการสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัวอีกด้วย
คนรอบข้างมองอย่างไร เมื่อเห็นเราพูดภาษาที่สองกับลูก แล้วเราทำอย่างไร
ที่ พบเจอจำนวนคนที่ชื่นชมลูกเรา จะมากกว่าคนที่ไม่ชอบ ส่วนใหญ่ถ้าผมเห็นเขาสนใจลูกผม ผมก็จะคุยด้วย และก็ให้คำแนะนำเลย และก็ให้ไปซื้อหนังสืออ่าน และก็แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน เพื่อเป็นมิตรกันต่อไป ทำแบบนี้จนรู้จักผู้พิพากษา 1 คน
คำแนะนำและความคิดเห็นอื่นๆให้กับพ่อแม่ท่านอื่น
ถ้าสนใจที่จะให้ลูกพูด 2 ภาษาได้จริง ใช้เวลาและพลัง โดยเฉพาะถ้าพื้นฐานภาษานั้นๆเราน้อย แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราตั้งใจ ทำจริง พ่อแม่ทุกคนต้องทำได้แน่นอน อย่างที่เราเห็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จกันเยอะมากในหมู่บ้านเด็กสองภาษาของพวกเราทุกคน

